ภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุหลักของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั่วโลก ระบบนิเวศน้ำจืดที่ถูกคุกคาม ก็มีบทบาทอย่างมากต่อปัญหานี้ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมาที่ราบสองฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ๆได้ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และการพัฒนาอื่นๆ ทั่วยุโรป ที่พักอาศัยใหม่ๆ ถนน สาธารณูปโภคพื้นฐานถูกสร้างบนพื้นที่ อันเป็นที่รองรับน้ำหลากแม่น้ำหลายสายในยุโรปถูกกั้นด้วยเขื่อน และถมตลิ่งสูงเพื่อประโยชน์ในการขนส่งผลิตกระแสไฟฟ้าเปิดพื้นที่เพื่อการเกษตรและการก่อสร้างต่างๆแต่ศักยภาพในการรองรับปริมาณน้ำตามธรรมชาติ ในที่ราบริมฝั่งแม่น้ำ ได้สูญหายไป ซึ่งที่ราบสองฝั่งแม่น้ำ ช่วยระบายกระแสน้ำไปอย่างช้าๆ และปลอดภัย เป็นการทำความสะอาดแม่น้ำตามธรรมชาติเมื่อไม่มีพื้นที่ เช่นนั้นกระแสน้ำที่ถูกบีบให้ไหลในแม่น้ำที่มีตลิ่งสูง จึงรุนแรง ประกอบกับภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดพายุฝนถล่มหนักอยู่บ่อยครั้ง กระแสน้ำที่ล้นตลิ่งก็จะเอ่อท่วมบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม กวาดทุกอย่างให้หายวับไปในชั่วพริบตา
เมื่อ 100 ปีก่อน ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก
ยังไม่มีความเข้มข้นมากนัก คลื่นความร้อนจึงสะท้อนออกนอกโลกได้มาก
ยังไม่มีความเข้มข้นมากนัก คลื่นความร้อนจึงสะท้อนออกนอกโลกได้มาก
กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้ก๊าซเรือนกระจก
ในชั้นบรรยากาศของโลกมีความเข้มข้นขึ้น คลื่นความร้อนจึงสะสมอยู่บริเวณพื้นผิวโลก
สาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งพูดกันหรือเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ปัญหาโลกร้อนได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว นับแต่ที่มนุษย์เริ่มรู้จักเครื่องจักรไอน้ำและนำเอาเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหิน และน้ำมัน ขึ้นมาใช้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศในปริมาณมากโดยน้ำมือของมนุษย์ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้เมื่อราวศตวรรษก่อนกำลังเป็นความจริงแล้วในปัจจุบัน ประมาณปี ค.ศ. 1890 Svante Arrhenius นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศกับอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและพบว่าหากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศของโลกลดลงครึ่งหนึ่งจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกลดลงถึง5องศาเซลเซียส ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเริ่มต้นยุคอุตสาหกรรม มีการปล่อยก๊าซต่างๆขึ้นสู่อากาศมากขึ้น Svante ทำนายว่าในอนาคตโลกจะร้อนขึ้นจากการเผาไหม้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณมหาศาลลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลก โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าภาวะเรือนกระจก ภาวะเรือนกระจกก็คล้ายกับการที่เราสร้างเรือนกระจกกลางแจ้ง แสงแดดสามารถผ่านเข้ามาในเรือนกระจก แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นไม่สามารถระบายออกข้างนอกได้ ทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปรกติชั้นบรรยากาศของโลกจะประกอบด้วยก๊าซชนิดต่างๆ และไอน้ำ เมื่อรังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามายังพื้นผิวโลก มันจะถูกดูดกลืนไว้ด้วยพื้นน้ำ พื้นดิน พืช และสัตว์ หลังจากนั้นก็จะคายออกมาเป็นพลังงานในรูปของรังสีคลื่นยาวอินฟราเรด ซึ่งเป็นคลื่นความร้อน กลับขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและบางส่วนก็ถูกกักเก็บไว้ โดยก๊าซในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกดังนั้นที่ผ่านมาโลกของเราจึงสามารถรักษาอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม ไม่ร้อนจัดเหมือนดาวศุกร์ หรือเย็นจัดอย่างดาวอังคาร แต่ปัจจุบันชั้นบรรยากาศของโลกไม่ได้อยู่ในภาวะปรกติอีกต่อไป ชั้นบรรยากาศถือได้ว่าเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุด ในระบบนิเวศของโลกใบนี้ คาร์ล ซาแกน(Carl Sagan) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “หากคุณเอาน้ำยาขัดเงามาทาลูกโลกความหนาของชั้นน้ำยาก็เปรียบได้กับชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับขนาดของโลก” ทุกวันนี้ชั้นบรรยากาศของโลกถูกปกคลุมด้วยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไป ก๊าซเรือนกระจกนั้นประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก รวมถึงก๊าซมีเทน ก๊าซซีเอฟซี ก๊าซโอโซน ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในการดูดกลืนและเก็บกักรังสีอินฟราเรด ดังนั้นรังสีอินฟราเรดที่ควรจะสะท้อนออกนอกโลก ก็จะถูกเก็บกักสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากปัญหาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้วภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้บางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบหลายแห่งทั่วโลกลดลง เกิดความอดอยากเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง จากการศึกษาของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติพบว่า ผลผลิตข้าวจะลดลงร้อยละ 15 เมื่ออากาศร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ในทวีปแอฟริกานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้น้ำในแม่น้ำต่างๆจะมีปริมาณลดลงร้อยละ 25 อันจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการประมง ผู้คนกว่า 20 ล้านคนจะไม่มีอาหารพอเลี้ยงชีพสัตว์ป่าหลายชนิดจะขาดแคลนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และอาจส่งผลให้สัตว์ป่าในแอฟริกาตั้งแต่นกไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องสูญพันธุ์ ความแห้งแล้งยังก่อให้เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงทั่วโลก ตั้งแต่ป่าในสหรัฐอเมริกา ป่าแอมะซอนในบราซิล ไปจนถึงป่าในออสเตรเลีย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้ป่าฝนเขตร้อนในประเทศอินโดนีเซีย รุนแรงขึ้นทุกปี พื้นที่ป่าเสียหายถึง 12 ล้าน 5 แสนไร่ ขณะที่ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อนอย่างรุนแรงได้แผ่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 35,000 คน ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพายุหมุนในทะเลถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ไซโคลน และพายุไต้ฝุ่น ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เมืองที่อยู่ตามชายฝั่งจะได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของพายุบ่อยครั้ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 พายุเฮอริเคนแคทรีนา (Katrina) ได้พัดถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างย่อยยับ มีผู้เสียชีวิตนับพันคนและในปีก่อนหน้านั้น พายุไต้ฝุ่นถึง 10 ลูกได้พัดถล่มเกาะญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์ จากที่เคยทำสถิติปีละ 7 ลูก เช่นเดียวกับ
พายุไซโคลนที่พัดถล่มประเทศออสเตรเลียอย่างรุนแรง ไม่แพ้ประเทศในแถบทะเลจีนใต้ที่มีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้าถล่มเกือบ 20 ลูกในช่วงปีที่ผ่านมาจากเดิมที่มีเฉลี่ยปีละ 10 ลูก ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ตั้งแต่ประเทศจีนญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย พม่าบังกลาเทศจนถึงอินเดียเช่นที่เมืองมุมไบประเทศอินเดียในเดือนกรกฎาคม 2005 วัดปริมาณน้ำฝนได้ถึงระดับ 37 นิ้วภายใน 24 ชั่วโมง
ผลกระทบสำคัญอีกประการคือการระบาดของเชื้อโรคชนิดต่างๆเนื่องจากแมลงหลายชนิดที่เป็นพาหะสำคัญของเชื้อโรคมีการกระจายพันธุ์ได้ดีขึ้น อาทิ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้วงจรชีวิตของยุงมีระยะสั้นลงและยุงยังสามารถอพยพไปอยู่ในที่ที่เคยมีอากาศเย็นได้ ภูเขาหลายแห่งและพื้นที่ที่ไม่เคยมียุงมาก่อนกลับพบว่ามียุงแพร่กระจายเข้าไป ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคมาลาเรียอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์พบว่า ทุกวันนี้มีผู้ได้รับเชื้อมาลาเรียประมาณ 500ล้านคนเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่านับจากเมื่อปีค.ศ.1990โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอฟริก าขณะที่มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นถึงปีละ15ล้านคนโดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและมีการคำนวณว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น1 องศาเซลเซียส จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงถึงร้อยละ 47 นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นครั้งแรกในเทือกเขาแอนดีสประเทศชิลี ยังไม่นับรวมการระบาดของโรคหลายชนิด อาทิไข้อหิวาต์ไข้สมองอักเสบ ฯลฯ และการแพร่กระจายของแมลงศัตรูพืช ที่เป็นต้นเหตุของการทำลายพืชผลการเกษตรทั่วโลกองค์การอนามัยโลกประมาณว่าในแต่ละปีประชากร 160,000 คนป่วยตายจากโรคที่มีผลมาจากภาวะโลกร้อนอุตสาหกรรมประกันภัยก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่่่ความเสียหายจากภัยพิบัติ อันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม ความแห้งแล้งการกัดเซาะชายฝั่ง สูงถึง 15 เท่าบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
ได้คำนวณว่า ในปี ค.ศ. 2050 ความเสียหายจากภาวะโลกร้อนจะมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและสำหรับประเทศทวีปเอเชียอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่ง เป็นตัวทำรายได้สำคัญของประเทศจะได้รับความเสียหายมากที่สุด
ที่มา:http://www.thaigoodview.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น