วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลมแรง!! ทำน้ำตกไหลย้อนขึ้น ที่ออสเตรเลีย

สำนักข่าวต่างประเทศ เผยคลิปน้ำตกแห่งหนึ่งทางใต้ของออสเตรเลีย ไหลทวนกระแสน้ำขึ้นไป ด้วยความเร็วถึง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นผลมาจากฝนตกและลมแรงเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้มีคลื่นสูงถึง 5เมตร ทั้งนี้ จอห์น แมกแรท ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนจากโลกถึงความเปลี่ยนแปลงทางอากาศของโลก



ภาพจาก:http://www.youtube.com
ข้อมูลจาก:http://news.mthai.com/hot-news/123952.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรัพยากรน้ำ

โลกของเราประกอบขึ้นด้วย พื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง  กับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลก รวมทั้งมนุษย์เราด้วย น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ

ประโยชน์ของน้ำ

น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่

          1. น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯล
2. น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำ              อื่น  ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
3.ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบาย             ความร้อน ฯล
4. การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
          5. น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
          6. แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
7. ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์
 
 
ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
 
                                                                                                                                                                   
ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ
 
1. ปัญหาการมีน้ำน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้             ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว
2. ปัญหาการมีน้ำมากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าใน              ฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
3. ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้
 1 ) น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง
 2)  น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
 3) น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง 
น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหายทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
          ผลกระทบของน้ำเสียต่อสิ่งแวดล้อม

  • เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย
  • เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ
  • ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ
  • ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วย          ขยะ  และสิ่งปฎิกู
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง
  • ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะยาว



เครื่องเติมออกซิเจนให้แก่น้ำ ป้องกันมิให้น้ำเน่าเสีย


การอนุรักษ์น้ำ

       ดังได้กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า น้ำมีความสำคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์น้ำ ดังนี้

1. การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว ยัง    ทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย
2. การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้ เช่น การทำบ่อ      เก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประ
3. การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถมี   น้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กำลังแพร่   หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด
4. การป้องกันน้ำเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงาน    อุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
5. การนำน้ำเสียกลับไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น น้ำ    ทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้


ข้อมูลจาก:http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/subwater.htm

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล็งใช้"ทะเลทรายแอฟริกา" ผลิตฟาร์มไฟฟ้าแสงอาทิตย์



เวทีพลังงานทดแทนเสนอใช้ทะเลทรายแอฟริกาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ป้อนพลเมืองได้ถึง 600 ล้านคนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังอาจเหลือส่งไปขายยุโรปได้ด้วย
          เกอร์ฮาร์ด นีส์ ผู้จัดการโครงการ บริษัทพลังงานทดแทนทรานส์-เมดิเตอร์เรเนียน กล่าวบนเวทีประชุมพลังงานทดแทนแอฟริกา ซึ่งจัดที่ประเทศไนโรบีเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทะเลที่ร้อนตับแลบในแอฟริกาสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ โดยพื้นที่ 1.5 ตารางกิโลเมตรผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่าน้ำมัน 1.5 บาร์เรล

          แอฟริกาเหมาะทำโครงการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ โดยพลิกพื้นที่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไร้ประโยชน์มาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติที่ไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเมินดูแล้ว แต่ละปีทะเลทรายจะได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ใช้กันทั่วโลก

          กลุ่มคนที่ยากจนสุดเป็นคนที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาตะวันออก และต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อดำรงชีวิตอย่างมาก ยิ่งในภาวะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่ผันผวนจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานสะอาดมาทดแทนพลังงานจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล พลังงานโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

          ข้อดีของการลงทุนพลังงานโซลาร์เซลล์คือเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียวจบ และต้นทุนเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เริ่มถูกลงเรื่อยๆ เพียงนำกระจกและเดินท่อรับความร้อนจากดวงอาทิตย์มาต้มน้ำให้เดือด และใช้พลังไอน้ำดันกังหันเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า

          หลายประเทศทั่วโลกสนใจทำ "ฟาร์มแสงอาทิตย์" กันบ้างแล้ว เช่นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ วางแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าให้แก่ผู้อยู่อาศัย 1.9 แสนหลังคาเรือน และจะเป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่นิวเม็กซิโก และแคนาดามีแผนผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก:คมชัดลึก

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โลกเรา…หน้าที่ใครดูแล???


      ปัจจุบันดูเหมือนปัญหาภัยธรรมชาติ ดูจะทวีความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนฟ้าคะนอง ทั้งยังเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอีกด้วย หรือนั่นอาจเป็นสัญญาณที่เตือนให้รู้ว่า เราควรจะหันมาใส่ใจเรื่องของการดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจังเสียทีได้แล้ว...

เมื่อเป็นเช่นนั้น การดูแลสิ่งแวดล้อมบนโลกจึงกลายเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก และเพื่อปลุกจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติให้แก่คนทั้งโลก จึงมีการกำหนดให้มี “วันคุ้มครองโลก”เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายนของทุกปี โดยถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 27 ปีก่อน ในวันที่ 22 เมษายน 2513 นักอนุรักษ์ธรรมชาติกลุ่มหนึ่งได้จัดให้มีการแสดงพลังครั้งใหญ่ เพื่อปลุกเร้าจิตสำนึกเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่นับวันยิ่งถูกมนุษย์ทำลาย ในการแสดงพลังครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่า 20 ล้านคน และปรากฏขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ เกือบทั้งสหรัฐ หลังจากนั้นความห่วงใยปัญหาสภาพแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มพูนขึ้นและมีการออกกฎหมายควบคุมการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติอีกด้วย...

สำหรับในประเทศไทยเริ่มพูดถึง “วันคุ้มครองโลก”ครั้งแรก เมื่อปี 2533 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลังจาก สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี กระทำอัตวินิบาตกรรม อาจารย์และนักศึกษา 16 สถาบันได้ร่วมกันจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้น เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่าอนุรักษ์ และตระหนักถึงวิกฤติที่เกิดจากการทำร้ายสัตว์ป่า และทำลายป่าไม้ประเทศไทย รวมทั้งยังได้จัดงานเพื่อหาทุนเข้า มูลนิธิสืบนาคะเสถียร   เพื่อใช้ในการปกป้องรักษาผืนป่าที่เป็นมรดกของโลกอีกด้วย

“คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดภัยต่างๆ จึงยังคงบริโภคกันตามใจตนเอง ตามกระแสนิยม สนใจแต่สิ่งที่จะอำนวยความสะดวก ทำให้ตนเองมีความสุขสบายเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาที่จะเกิดกับคนรุ่นหลังๆ ซึ่งสิ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนักถึงคือ เราจะบริโภคกันแบบที่เป็นมาในอดีตไม่ได้อีกแล้ว ต้องมีการปรับเปลี่ยนเสียใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ เช่น การใช้รถยนต์มีผลต่อสภาพอากาศอย่างชัดเจนเพราะยิ่งรถมาก ก็ยิ่งมีก๊าซคาบอนไดออกไซด์มาก เราควรลดการใช้รถยนต์ให้น้อยลง เดินทางให้น้อยลง บางรายขับรถไปตั้งไกล เพื่อไปรับประทานอาหารหนึ่งมื้อ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องไม่จำเป็น เราควรซื้อใกล้บ้าน และรับประทานใกล้บ้าน เพื่อลดก๊าซพิษต่างๆ ลง หากจำเป็นก็ให้ใช้ขนส่งมวลชน หรือหันมาใช้จักรยานหรือเดินออกกำลังกายน่าจะดีกว่า อันนี้เป็นแนวทางที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ ไม่ใช่แค่คิดเฉยๆ ต้องทำได้จริงด้วย”ดร.จิรพลกล่าว


ดร.จิรพล บอกต่อว่า เราควรปรับเปลี่ยนการใช้สิ่งของบางอย่างที่อาจเกิดผลเสียต่อธรรมชาติ เช่น น้ำที่ใส่ขวดพลาสติกถ้าเลิกได้ ก็ควรเลิกใช้ เพราะพลาสติกย่อยสลายยาก มันสร้างปัญหามากกว่าสร้างประโยชน์ ทางที่ดีเราควรพกพาขวดน้ำที่สามารถใช้ซ้ำได้ที่เป็นของตนเอง หลีกเลี่ยงการทานผักผลไม้นอกฤดูกาล และมาจากต่างประเทศ และที่สำคัญควรใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลงเพราะเป็นตัวการในการเพิ่มก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว และอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง รู้หรือไม่ว่า เปลือกกล้วยและเปลือกสับปะรดที่ทิ้งใส่ถุงและปิดปากถุงไว้นั้น เมื่อมีการย่อยสลายจะเกิด “แก๊สมีเทน”ขึ้น ซึ่งอันตรายกว่าก๊าซคาบอนไดออกไซเสียอีก เป็นการทำร้ายธรรมชาติเช่นกัน ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกบ้านจะต้องตระหนักถึงผลเสียและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสียที



“นอกจากนี้การใส่เสื้อผ้าก็มีส่วนในการช่วยโลกเราได้ ซึ่งเราควรหันมาใส่เสื้อผ้าสีสัน แทนการใส่เสื้อผ้าสีขาว เพราะการใส่เสื้อสีขาวจะเป็นตัวเพิ่มแรงกดดันให้แก่ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม ผ้าขาวจำเป็นต้องใช้น้ำ ผงซักฟอกและน้ำยากัดขาวมากกว่าผ้าสีอื่น จึงต้องหลีกเลี่ยง นี่รวมไปถึงผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนผ้าเช็ดตัวก็ควรหลีกเลี่ยงสีขาวด้วยเช่นกัน”ดร.จิรพลกล่าว


อุปนายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ในวันคุ้มครองโลกนี้ถือเป็นวันดี ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการที่เราทุกคน จะหันมาดูแลโลกอย่างจริงจัง ช่วยกันส่งเสริมให้การรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มันขยายตัวเร็วขึ้น เพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะปัจจุบันถือว่าคนยังไม่ตื่นตัวเรื่องของการอนุรักษ์ มัวแต่หันไปสนใจเรื่องบ้านเมือง จนลืมมองย้อนดูโลกว่ากำลังถูกทำร้าย ซึ่งเรื่องของโลกใบนี้ จะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ได้นั้น สำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ อย่ารอให้สถานการณ์มันรุนแรงไปกว่านี้ แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ เพราะนั้นคือความประมาท และก็จะไม่ทันการเสียแล้ว..

 เมื่ออนาคตของโลกทั้งใบอยู่ในมือเราทุกคน  อย่าถามว่าหน้าที่นี้ใครต้องดูแล เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว เราทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้โลกของเราเป็นโลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นหลังๆต่อไป ก่อนจะไม่มีโลกให้อยู่ต่อไปนะคะ



ขอบคุณข้อมูลจาก:http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/21885




วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ภาวะโลกร้อน กับ ระบบนิเวศ



          
  ภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุหลักของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั่วโลก ระบบนิเวศน้ำจืดที่ถูกคุกคาม ก็มีบทบาทอย่างมากต่อปัญหานี้ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมาที่ราบสองฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ๆได้ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และการพัฒนาอื่นๆ ทั่วยุโรป ที่พักอาศัยใหม่ๆ ถนน สาธารณูปโภคพื้นฐานถูกสร้างบนพื้นที่ อันเป็นที่รองรับน้ำหลากแม่น้ำหลายสายในยุโรปถูกกั้นด้วยเขื่อน และถมตลิ่งสูงเพื่อประโยชน์ในการขนส่งผลิตกระแสไฟฟ้าเปิดพื้นที่เพื่อการเกษตรและการก่อสร้างต่างๆแต่ศักยภาพในการรองรับปริมาณน้ำตามธรรมชาติ ในที่ราบริมฝั่งแม่น้ำ ได้สูญหายไป ซึ่งที่ราบสองฝั่งแม่น้ำ ช่วยระบายกระแสน้ำไปอย่างช้าๆ และปลอดภัย เป็นการทำความสะอาดแม่น้ำตามธรรมชาติเมื่อไม่มีพื้นที่ เช่นนั้นกระแสน้ำที่ถูกบีบให้ไหลในแม่น้ำที่มีตลิ่งสูง จึงรุนแรง ประกอบกับภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดพายุฝนถล่มหนักอยู่บ่อยครั้ง กระแสน้ำที่ล้นตลิ่งก็จะเอ่อท่วมบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม  กวาดทุกอย่างให้หายวับไปในชั่วพริบตา





เมื่อ 100 ปีก่อน ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก
ยังไม่มีความเข้มข้นมากนัก คลื่นความร้อนจึงสะท้อนออกนอกโลกได้มาก



กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้ก๊าซเรือนกระจก
ในชั้นบรรยากาศของโลกมีความเข้มข้นขึ้น คลื่นความร้อนจึงสะสมอยู่บริเวณพื้นผิวโลก



สาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งพูดกันหรือเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ปัญหาโลกร้อนได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว นับแต่ที่มนุษย์เริ่มรู้จักเครื่องจักรไอน้ำและนำเอาเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหิน และน้ำมัน ขึ้นมาใช้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศในปริมาณมากโดยน้ำมือของมนุษย์ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้เมื่อราวศตวรรษก่อนกำลังเป็นความจริงแล้วในปัจจุบัน ประมาณปี ค.ศ. 1890 Svante Arrhenius นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศกับอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและพบว่าหากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศของโลกลดลงครึ่งหนึ่งจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกลดลงถึง5องศาเซลเซียส ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเริ่มต้นยุคอุตสาหกรรม มีการปล่อยก๊าซต่างๆขึ้นสู่อากาศมากขึ้น Svante ทำนายว่าในอนาคตโลกจะร้อนขึ้นจากการเผาไหม้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณมหาศาลลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลก โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าภาวะเรือนกระจก ภาวะเรือนกระจกก็คล้ายกับการที่เราสร้างเรือนกระจกกลางแจ้ง  แสงแดดสามารถผ่านเข้ามาในเรือนกระจก แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นไม่สามารถระบายออกข้างนอกได้ ทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปรกติชั้นบรรยากาศของโลกจะประกอบด้วยก๊าซชนิดต่างๆ และไอน้ำ เมื่อรังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามายังพื้นผิวโลก มันจะถูกดูดกลืนไว้ด้วยพื้นน้ำ พื้นดิน พืช และสัตว์ หลังจากนั้นก็จะคายออกมาเป็นพลังงานในรูปของรังสีคลื่นยาวอินฟราเรด ซึ่งเป็นคลื่นความร้อน กลับขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและบางส่วนก็ถูกกักเก็บไว้ โดยก๊าซในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกดังนั้นที่ผ่านมาโลกของเราจึงสามารถรักษาอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม ไม่ร้อนจัดเหมือนดาวศุกร์ หรือเย็นจัดอย่างดาวอังคาร แต่ปัจจุบันชั้นบรรยากาศของโลกไม่ได้อยู่ในภาวะปรกติอีกต่อไป ชั้นบรรยากาศถือได้ว่าเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุด          ในระบบนิเวศของโลกใบนี้ คาร์ล ซาแกน(Carl Sagan) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “หากคุณเอาน้ำยาขัดเงามาทาลูกโลกความหนาของชั้นน้ำยาก็เปรียบได้กับชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับขนาดของโลก” ทุกวันนี้ชั้นบรรยากาศของโลกถูกปกคลุมด้วยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไป ก๊าซเรือนกระจกนั้นประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก รวมถึงก๊าซมีเทน ก๊าซซีเอฟซี ก๊าซโอโซน ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในการดูดกลืนและเก็บกักรังสีอินฟราเรด ดังนั้นรังสีอินฟราเรดที่ควรจะสะท้อนออกนอกโลก ก็จะถูกเก็บกักสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ







 นอกจากปัญหาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้วภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้บางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบหลายแห่งทั่วโลกลดลง เกิดความอดอยากเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง  จากการศึกษาของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติพบว่า ผลผลิตข้าวจะลดลงร้อยละ 15 เมื่ออากาศร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ในทวีปแอฟริกานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้น้ำในแม่น้ำต่างๆจะมีปริมาณลดลงร้อยละ 25 อันจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการประมง ผู้คนกว่า 20 ล้านคนจะไม่มีอาหารพอเลี้ยงชีพสัตว์ป่าหลายชนิดจะขาดแคลนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และอาจส่งผลให้สัตว์ป่าในแอฟริกาตั้งแต่นกไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องสูญพันธุ์  ความแห้งแล้งยังก่อให้เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงทั่วโลก ตั้งแต่ป่าในสหรัฐอเมริกา ป่าแอมะซอนในบราซิล ไปจนถึงป่าในออสเตรเลีย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้ป่าฝนเขตร้อนในประเทศอินโดนีเซีย รุนแรงขึ้นทุกปี พื้นที่ป่าเสียหายถึง 12 ล้าน 5 แสนไร่ ขณะที่ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อนอย่างรุนแรงได้แผ่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 35,000 คน ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพายุหมุนในทะเลถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ไซโคลน และพายุไต้ฝุ่น ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เมืองที่อยู่ตามชายฝั่งจะได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของพายุบ่อยครั้ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 พายุเฮอริเคนแคทรีนา (Katrina) ได้พัดถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างย่อยยับ มีผู้เสียชีวิตนับพันคนและในปีก่อนหน้านั้น พายุไต้ฝุ่นถึง 10 ลูกได้พัดถล่มเกาะญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์ จากที่เคยทำสถิติปีละ 7 ลูก เช่นเดียวกับ
พายุไซโคลนที่พัดถล่มประเทศออสเตรเลียอย่างรุนแรง ไม่แพ้ประเทศในแถบทะเลจีนใต้ที่มีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้าถล่มเกือบ 20 ลูกในช่วงปีที่ผ่านมาจากเดิมที่มีเฉลี่ยปีละ 10 ลูก ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ตั้งแต่ประเทศจีนญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย พม่าบังกลาเทศจนถึงอินเดียเช่นที่เมืองมุมไบประเทศอินเดียในเดือนกรกฎาคม 2005 วัดปริมาณน้ำฝนได้ถึงระดับ 37 นิ้วภายใน 24 ชั่วโมง

          ผลกระทบสำคัญอีกประการคือการระบาดของเชื้อโรคชนิดต่างๆเนื่องจากแมลงหลายชนิดที่เป็นพาหะสำคัญของเชื้อโรคมีการกระจายพันธุ์ได้ดีขึ้น อาทิ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้วงจรชีวิตของยุงมีระยะสั้นลงและยุงยังสามารถอพยพไปอยู่ในที่ที่เคยมีอากาศเย็นได้ ภูเขาหลายแห่งและพื้นที่ที่ไม่เคยมียุงมาก่อนกลับพบว่ามียุงแพร่กระจายเข้าไป ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคมาลาเรียอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์พบว่า ทุกวันนี้มีผู้ได้รับเชื้อมาลาเรียประมาณ 500ล้านคนเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่านับจากเมื่อปีค.ศ.1990โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอฟริก าขณะที่มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นถึงปีละ15ล้านคนโดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและมีการคำนวณว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น1 องศาเซลเซียส จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงถึงร้อยละ 47 นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นครั้งแรกในเทือกเขาแอนดีสประเทศชิลี  ยังไม่นับรวมการระบาดของโรคหลายชนิด อาทิไข้อหิวาต์ไข้สมองอักเสบ ฯลฯ   และการแพร่กระจายของแมลงศัตรูพืช ที่เป็นต้นเหตุของการทำลายพืชผลการเกษตรทั่วโลกองค์การอนามัยโลกประมาณว่าในแต่ละปีประชากร 160,000 คนป่วยตายจากโรคที่มีผลมาจากภาวะโลกร้อนอุตสาหกรรมประกันภัยก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่่่ความเสียหายจากภัยพิบัติ อันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม ความแห้งแล้งการกัดเซาะชายฝั่ง สูงถึง 15 เท่าบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
ได้คำนวณว่า ในปี ค.ศ. 2050 ความเสียหายจากภาวะโลกร้อนจะมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและสำหรับประเทศทวีปเอเชียอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่ง เป็นตัวทำรายได้สำคัญของประเทศจะได้รับความเสียหายมากที่สุด



ที่มา:http://www.thaigoodview.com/