วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

พายุ'โรคี'ถล่มญี่ปุ่น!!



       โดยเมื่อวานนี้ (20 กันยายน) อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นโรคีนี้ได้ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมสูงแล้วในหลายจุดของเมืองนาโกย่า และอีกหลายเมืองในจังหวัดไอจิ โดยในบางพื้นที่ ระดับน้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นและไหลทะลักเข้าท่วมร้านค้าและบ้านเรือนประชาชนราว 750 หลัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เรือยางอพยพประชาชนที่ติดอยู่ภายในบ้านอย่างเร่งด่วน ล่าสุดมีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย สูญหายอีก 2 ราย

พายุไต้ฝุ่นโรคี นับเป็นภัยพิบัติล่าสุดที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน หลังพายุไต้ฝุ่นตาลัส พัดกระหน่ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 คน ประชาชนมากกว่า 1 ล้านคน ได้รับคำเตือนในเบื้องต้นให้อพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากความวิตกว่า อิทธิพลของพายุโรคีที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก จะทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง

พายุโรคี พัดกระหน่ำญี่ปุ่นภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากเพิ่งเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและสึนามิ เมื่อเดือนมีนาคม จนเกิดวิกฤติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ทางการระบุว่า พบผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ศพ ทางภาคกลางและตะวันตกของประเทศ ส่วนที่จังหวัดกิฟุ มีผู้สูญหาย 2 คนรวมทั้งเด็กชายคนหนึ่งที่หายตัวในระหว่างเดินทางจากโรงเรียนประถมกลับไปบ้าน

ทางการได้พยายามประกาศเตือนภัยประชาชนทั่วประเทศ แต่ไม่แน่ชัดว่าจะมีคนปฏิบัติตามหรือไม่  บริษัทโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก
ได้ปิดโรงงาน 11 แห่ง จากทั้งหมด 15แห่งในญี่ปุ่น เป็นการชั่วคราว เนื่องจากตั้งอยู่ในเส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุ โดยคาดว่าโรงงานทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางของพายุ อยู่ที่จังหวัดไอจิ ทางภาคกลางของประเทศ
         
เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศคาดว่า พายุโรคีจะสร้างความเสียหายซ้ำเติมให้ญี่ปุ่น ที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ได้เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้ประชาชน 2 หมื่นคน เสียชีวิตหรือสูญหาย และสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ชายฝั่งเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ทำลายชุมชนหลายแห่งชนพังพินาศ และทำให้เศรษฐกิจยับเยินเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์
         
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ไดอิชิ ต้องเผชิญหายนะหลังระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน เพราะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำทำให้สารกัมมันตรังสีรั่วเข้าสู่อากาศ , ทะเลและห่วงโซ่อาหาร จนเกิดเป็นมหันตภัยนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดของโลก นับตั้งแต่เกิดระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และล่าสุด เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ พายุไต้ฝุ่นตาลัส ได้พัดกระหน่ำพื้นที่ภาคกลาง กลายเป็นภัยพิบัติจากพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตราว 100 คน
         
อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นโรคี ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันและดินถล่ม สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สถานีโทรทัศน์ได้แพร่ภาพประชาชนต้องเดินลุยน้ำที่สูงถึงเข่า ตามถนนหลายสาย ทางด่วนหลายสายถูกปิด เที่ยวบินมากกว่า 200 เที่ยว ถูกยกเลิกในวันนี้ และเมื่อช่วงเที่ยงวันของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น พายุไต้ฝุ่นโรคี ได้เคลื่อนตัวอยู่ห่างจากเมืองฮามามัทสึ ในจังหวัดชิสุโอกะ ประมาณ 120 กิโลเมตร ด้วยความแรงลม 162 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

คาดว่า พายุจะพัดเข้าพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงบ่ายและเป็นไปได้ว่าจะบ่ายหน้าไปยังที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ไดอิชิ ที่คนงานยังอยู่ระหว่างการควบคุมไม่ให้สารกัมมันตรังสีรั่วไหล

       และสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ที่เกิดความกังวลว่าฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จะทำให้น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีล้นออกไปผสมกับน้ำทะเลและน้ำในดินได้นั้น ทางโฆษกของโรงไฟฟ้าก็ออกมายืนยันด้วยเช่นกันว่า ระบบหล่อเย็นของเตาปฎิกรณ์อยู่ในการควบคุมและจะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มครั้งนี้


 ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว  โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ร่วมใจปลูกป่าชายเลน เพื่อลดภาวะโลกร้อน !!

       
              ในอนาคตคาดว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้หลายวิธี หลักๆก็เห็นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด เพราะว่าพลังงานที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้กว่าจะมาถึงให้เราได้ใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนในการผลิตมากมาย และแต่ละขั้นตอนก็จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา เพราะฉะนั้นการลดใช้พลังงานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในการเดินทางใกล้ๆ และอื่นๆอีกมากมาย การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ อย่างที่เรารู้กันดีว่าในเวลากลางวัน ต้นไม้นั้นจะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเราโดยแท้ แต่ทว่าปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ฉะนั้นถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ก็เหมือนกับช่วยเพิ่มเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเรา




พวกเราจึงตระหนักถึงภัยของภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลุ่มพวกเราและเพื่อนๆจึงได้เดินทางไป  ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน จ.สมุทรสงคราม   ซึ่งเป็นสถานที่เชิงอนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน  ซึ่งป่าชายเลนเป็นต้นไม้ที่อยู่ในน้ำกร่อย  และเป็นที่อยู่ของอนุบาลสัตว์น้ำและสัตว์ต่างๆมากมาย เช่น ลิงแสม ปูแสม หอย ปลา เป็นต้น 
และเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 54 พวกเราจึงได้เดินทางไปที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน เพื่อไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน   เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ป่าชายเลน  โดยพวกเราและเพื่อนๆในห้องได้ร่วมกันปลูกป่าชายเลน เพื่อรักษาระบบนิเวศของป่าชายเลน และเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน



ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกันปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนแห่งนี้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา และยังช่วยทำให้ระบบนิเวศอยู่ในภาวะที่สมดุลอีกด้วย

ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน ปัจจุบันได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้การตอบรับที่ดี
จากนักท่องเที่ยวที่มีใจรักธรรมชาติ และสนใจในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมาก




และในวันนั้นขณะที่พวกเรากำลังปลูกต้นโกงกางอยู่นั้น พวกเราก็ได้เจอกับ พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์     ผลดี ด้วย เนื่องจากพี่ติ๊กมาถ่ายทำรายการและมาปลูกป่าชายเลนด้วยเช่นกัน  วันนั้นพวกเราจึงรู้สึกอิ่มใจที่ได้ไปปลูกป่าชายเลน และยังโชคดีได้เจอพี่ติ๊กอีกด้วย





พวกเราจึงอยากเชิญชวนเพื่อนๆและผู้ที่สนใจทุกท่าน ไปเยี่ยมชมและร่วมกันปลูกป่าชายเลนที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน หรือที่ใดก็ได้ที่เพื่อนๆคิดว่าสะดวก  เพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนให้กับโลกของเรากันเยอะๆนะค่ะ !!

ขอขอบคุณ:อาจารย์ สมใจ ฉายขจร ที่ช่วยแนะนำสถานที่ และ ติดต่อสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ในการทำกิจกรรมในครั้งนี้

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เตรียมรับมือ กรุงเทพฯจมน้ำ !!


      จากคำทำนายในแง่โหราศาสตร์ที่ฟอร์เวิร์ดเมลกันว่อนใน เวลานี้ ว่าปี 2553 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่หนักยิ่งกว่าครั้งใดๆประกอบกับมีข้อมูลทางวิชาการออกมาว่าปัญหาภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง จนมีผลกระทบจะทำให้เกิดน้ำท่วมโลก พื้นดินหลายแห่งจะจมอยู่ใต้น้ำ รวมทั้งกรุงเทพมหานครของประเทศไทยด้วยได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลแ ก่ประชากรโลก โดยเฉพาะ "คนกรุงเทพฯ" และปริมณฑล"เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง แน่นอนว่านอกจากความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจที่รอ อยู่เบื้องหน้าแล้ว สุขภาพจิตของคนไทยคงต้องอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่ง! "จะเป็นเช่นที่กล่าวหรือไม่- -มีคำอธิบายจาก "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้ศึกษาวิจัยประเด็นนี้เสร็จหมาดๆ แล้วส่งเปเปอร์ให้กับธนาคารโลก (World Bank) ในฐานะเจ้าของเงินทุนการวิจัยไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นี้เอง

           ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เล่าความเป็นมาก่อนว่า ได้ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ 2 ปี โดยศึกษาเฉพาะกรณีของประเทศไทย เหตุเพราะว่าธนาคารโลกสนใจเรื่องนี้มาก และศึกษามาอย่างต่อเนื่องจนได้ข้อมูลว่า 4เมืองหลักในทวีปเอเชีย ได้แก่ เมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม, เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกรุงเทพฯ ประเทศไทย

    ภาพเปรียบเทียบชายฝั่งของเดิมและปัจจุบันที่ถูกน้ำท่วมเข้าไปลึกมากแล้ว

"อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะจมน้ำในปี พ.ศ.2563"

ดังนั้น จึงให้ทุนมาศึกษาวิจัยว่าความเสี่ยงมีมากขนาดไหน ประชาชนจะได้รับผลกระทบกี่ครอบครัว และความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่"วิธีการศึกษาผมได้ใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์ในห้องปฏิบั ติการ เป็นคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สร้างเมืองกรุงเทพฯจำลองขึ้นมา ซึ่งกรุงเทพฯ ประกอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองต่างๆ ระดับความสูงของพื้นดิน ระดับน้ำทะเลบริเวณเขตบางขุนเทียน จากนั้นใส่ปริมาณน้ำเหนือ น้ำหนุน และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ใส่ข้อมูลต่างๆ ลงไปให้ครบ และใช้เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2538 เป็นฐาน..""ผล.. เราพบว่าถ้าเหตุการณ์อย่างปี 2538 เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อนาคตเราหนีไม่พ้นแน่ กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ ต้องโดนน้ำท่วมหนัก"คำว่า ""กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้"" ของอาจารย์เสรีมีความหมายว่าผืนดินบริเวณริมทะเลทั้ง หมด โดยวัดจากริมชายทะเลเข้าไปในแผ่นดินประมาณ 10 กิโลเมตร จะถูกน้ำท่วม"โดยมีระดับความสูงของน้ำ 1.8-2.00
เมตร"


- ลักษณะของบ้านอนาคตประเทศไทยต้องมีใต้ถุนสูง ส่วนบ้านแพลอยน้ำเป็นของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ขณะนี้ ได้ออกแบบเตรียมรับมือน้ำท่วมไว้แล้ว
- สภาพน้ำท่วมชายฝั่งด้านสมุทรปราการปัจจุบัน
""เราพบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมรุนแรง แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่าจะติดกับชายฝั่งขนาดไหน ถ้าอยู่ติดชายฝั่งระดับน้ำจะท่วมสูง1.8-2.00เมตร ถ้าลึกเข้าไปก็ลดหลั่นกันไป แต่ริมชายฝั่งอย่าง จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร บริเวณปากแม่น้ำจมแน่ๆ""

"สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือเหตุการณ์ปี 2538 น้ำเหนือมาหนักมาก มันไหลมา 4,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่กรุงเทพฯรับน้ำได้ 3,000 ลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์เช่นปี 2538 อีกครั้งเมื่อน้ำมาสี่พันกว่าลูกบาศก์เมตรเขาจำเป็นต ้องผลักน้ำออกไปทางซ้ายและทางขวา ก่อนเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งหมายความว่าน้ำจะท่วมชนบทอย่างมโหฬาร พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม จะโดนหนักมาก แล้วมาทาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เขตหนองแขม และเขตลาดกระบัง กทม. ก็ไม่รอด.."

สำหรับสาเหตุที่น้ำท่วมกรุงเทพฯในปี 2563จะหนักหนาสาหัสมาก ดร.เสรีบอกว่า ตัวการสำคัญ คือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะผังเมือง "พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ว่างเปล่า ลดลงไปจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง""แต่ก่อนผมจำได้ว่ามีพื้นที่ว่างเปล่าหรือพื้นที่ชุ่มน้ำของ กทม. 1,500 ตร.กม. เป็นพื้นที่สีเขียวประมาณ 40% ปัจจุบันเหลือเพียง 20%เท่านั้น และขณะนี้เรากำลังสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ รุกล้ำไปในพื้นที่ชุ่มน้ำมาก เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางระบายน้ำ ซึ่งเป็นทางน้ำไหลลงทะเลไปทางทุ่งตะวันออก บริเวณหนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง บริเวณนี้หมู่บ้านเกิดขึ้นเยอะมาก รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญหา"

อาจารย์เสรีบอกว่า ภายในปี 2563 หากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นและถ้ารัฐบาลหรือหน่วย งานที่รับผิดชอบไม่ได้ดำเนินการอะไร ไม่ได้สร้างคันดินที่จะกั้นน้ำไม่ให้ทะลุเข้ามา หรือการขุดลอกคลองระบายน้ำ ทำพื้นที่แก้มลิง หรือหาพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม

"น้ำจะท่วมกรุงเทพฯแน่นอน" โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 50,000 ล้านบาท"

ที่สำคัญหากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่คิดหา วิธีป้องกัน หรือมีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างชัดเจน คนกรุงเทพฯและปริมณฑลจะต้องเผชิญกับสภาพน้ำท่วมขังบ้านเรือนเป็นเวลา 1 เดือน

                    
 "โปรดเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะเผชิญกับมัน!!! "


     ที่มา:http://www.saveoursea.net 



วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สูดโอโซน ดีจริงหรือ?



             พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนมักติดปากว่าอยากไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดเพื่อสูดโอโซน ทว่าการพูดเช่นนั้นแสดงว่าคุณยังไม่รู้จักโอโซนดีพอ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ว่านี้อาจเป็นเพราะโมเลกุลของโอโซนประกอบด้วยออกซิเจน 3 อะตอม คนทั่วไปเลยคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองว่าออกซิเจนยิ่งมากก็ยิ่งหมายถึงอากาศบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอโซนมีทั้งที่ดีและไม่ดี
โอโซนที่ดีจะอยู่ในระดับความสูงเหนือพื้นดินมากกว่า 40 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเฉพาะในชั้นสตราโทสเฟียร์ ส่วนโอโซนที่ไม่ดีคือโอโซนที่อยู่เหนือระดับพื้นดินไม่เกิน 2 กิโลเมตร เพราะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก คอ และหากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากก็อาจเป็นอันตรายต่อปอดและเสียชีวิตได้ สิ่งที่ก่อให้เกิดโอโซนในระดับต่ำ ก็เช่น ควันของรถยนต์ เป็นต้น
สำหรับโอโซนที่ดีจะทำหน้าที่กั้นรังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบี (UVB) ซึ่งมีความยาวคลื่น 280-320 นาโนเมตร ส่องมายังโลกในปริมาณที่มากจนเกินไป เนื่องจากเจ้ารังสี UVB นี้เป็นอันตรายต่อมนุษย์ มีผลทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ต้อเนื้อ ต้อลม ส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ เช่น ทำให้พืชแคระแกร็น รวมทั้งยังทำให้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เปราะและหักพังเร็วขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่โลกสีฟ้าของเราใบนี้กำลังเผชิญอยู่ก็คือ รูรั่วโอโซน ส่งผลให้รังสี UVB ส่องผ่านมายังผิวโลกได้มากขึ้น จากการสำรวจโดยเครื่องบิน บอลลูน และดาวเทียม ตลอดจนข้อมูลขององค์การนาซา และ National Oceanic Atmospheric Administration (NOAA) ในปลายปี ค.ศ. 1970 พบว่า โอโซนในอวกาศมีแนวโน้มลดลงมาตลอด
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1986 มีนักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจโอโซนในช่วงฤดูใบไม้ผลิบริเวณซีกโลกใต้เหนือทวีปแอนตาร์กติกด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ด็อบสันสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ (Dobson Spectrophotometer) พบว่า ปริมาณโอโซนลดลงเหลือเพียง 88 DU (Dobson Unit) ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 220 DU
สาเหตุที่ชั้นโอโซนถูกทำลาย เกิดจากสารพวกฮาโลคาร์บอน (Halocarbon) ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่มีส่วนประกอบของธาตุคลอรีน ฟลูออรีน โบรมีน คาร์บอน และไฮโดรเจน โดยสารที่เป็นตัวการสำคัญๆ เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอนหรือ CFC ฮาลอน คาร์บอนเตตระคลอไรด์ เมธิลคลอโรฟอร์ม ซึ่งสารเหล่านี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยปัจจุบันมีความพยายามพัฒนาสารทดแทนที่เป็นมิตรกับโอโซนขึ้นมาใช้แทน และหวังว่าการสูญเสียโอโซนจะหมดไปในอนาคต
*ว่าแต่ไปเที่ยวทะเลหรือดงดอยคราวหน้า คงไม่มีใครปรารถนาไปสูดโอโซนอีกแล้วนะ*

ที่มา:http://www.greenworld.or.th/greenworld/population/1344
                                 (เรื่องเฟื่องฟ้า)

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลมแรง!! ทำน้ำตกไหลย้อนขึ้น ที่ออสเตรเลีย

สำนักข่าวต่างประเทศ เผยคลิปน้ำตกแห่งหนึ่งทางใต้ของออสเตรเลีย ไหลทวนกระแสน้ำขึ้นไป ด้วยความเร็วถึง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นผลมาจากฝนตกและลมแรงเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้มีคลื่นสูงถึง 5เมตร ทั้งนี้ จอห์น แมกแรท ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนจากโลกถึงความเปลี่ยนแปลงทางอากาศของโลก



ภาพจาก:http://www.youtube.com
ข้อมูลจาก:http://news.mthai.com/hot-news/123952.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรัพยากรน้ำ

โลกของเราประกอบขึ้นด้วย พื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง  กับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลก รวมทั้งมนุษย์เราด้วย น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ

ประโยชน์ของน้ำ

น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่

          1. น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯล
2. น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำ              อื่น  ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
3.ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบาย             ความร้อน ฯล
4. การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
          5. น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
          6. แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
7. ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์
 
 
ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
 
                                                                                                                                                                   
ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ
 
1. ปัญหาการมีน้ำน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้             ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว
2. ปัญหาการมีน้ำมากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าใน              ฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
3. ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้
 1 ) น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง
 2)  น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
 3) น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง 
น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหายทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
          ผลกระทบของน้ำเสียต่อสิ่งแวดล้อม

  • เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย
  • เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ
  • ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ
  • ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วย          ขยะ  และสิ่งปฎิกู
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง
  • ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะยาว



เครื่องเติมออกซิเจนให้แก่น้ำ ป้องกันมิให้น้ำเน่าเสีย


การอนุรักษ์น้ำ

       ดังได้กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า น้ำมีความสำคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์น้ำ ดังนี้

1. การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว ยัง    ทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย
2. การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้ เช่น การทำบ่อ      เก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประ
3. การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถมี   น้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กำลังแพร่   หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด
4. การป้องกันน้ำเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงาน    อุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
5. การนำน้ำเสียกลับไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น น้ำ    ทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้


ข้อมูลจาก:http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/subwater.htm

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล็งใช้"ทะเลทรายแอฟริกา" ผลิตฟาร์มไฟฟ้าแสงอาทิตย์



เวทีพลังงานทดแทนเสนอใช้ทะเลทรายแอฟริกาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ป้อนพลเมืองได้ถึง 600 ล้านคนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังอาจเหลือส่งไปขายยุโรปได้ด้วย
          เกอร์ฮาร์ด นีส์ ผู้จัดการโครงการ บริษัทพลังงานทดแทนทรานส์-เมดิเตอร์เรเนียน กล่าวบนเวทีประชุมพลังงานทดแทนแอฟริกา ซึ่งจัดที่ประเทศไนโรบีเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทะเลที่ร้อนตับแลบในแอฟริกาสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ โดยพื้นที่ 1.5 ตารางกิโลเมตรผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่าน้ำมัน 1.5 บาร์เรล

          แอฟริกาเหมาะทำโครงการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ โดยพลิกพื้นที่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไร้ประโยชน์มาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติที่ไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเมินดูแล้ว แต่ละปีทะเลทรายจะได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ใช้กันทั่วโลก

          กลุ่มคนที่ยากจนสุดเป็นคนที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาตะวันออก และต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อดำรงชีวิตอย่างมาก ยิ่งในภาวะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่ผันผวนจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานสะอาดมาทดแทนพลังงานจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล พลังงานโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

          ข้อดีของการลงทุนพลังงานโซลาร์เซลล์คือเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียวจบ และต้นทุนเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เริ่มถูกลงเรื่อยๆ เพียงนำกระจกและเดินท่อรับความร้อนจากดวงอาทิตย์มาต้มน้ำให้เดือด และใช้พลังไอน้ำดันกังหันเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า

          หลายประเทศทั่วโลกสนใจทำ "ฟาร์มแสงอาทิตย์" กันบ้างแล้ว เช่นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ วางแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าให้แก่ผู้อยู่อาศัย 1.9 แสนหลังคาเรือน และจะเป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่นิวเม็กซิโก และแคนาดามีแผนผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก:คมชัดลึก

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โลกเรา…หน้าที่ใครดูแล???


      ปัจจุบันดูเหมือนปัญหาภัยธรรมชาติ ดูจะทวีความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนฟ้าคะนอง ทั้งยังเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอีกด้วย หรือนั่นอาจเป็นสัญญาณที่เตือนให้รู้ว่า เราควรจะหันมาใส่ใจเรื่องของการดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจังเสียทีได้แล้ว...

เมื่อเป็นเช่นนั้น การดูแลสิ่งแวดล้อมบนโลกจึงกลายเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก และเพื่อปลุกจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติให้แก่คนทั้งโลก จึงมีการกำหนดให้มี “วันคุ้มครองโลก”เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายนของทุกปี โดยถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 27 ปีก่อน ในวันที่ 22 เมษายน 2513 นักอนุรักษ์ธรรมชาติกลุ่มหนึ่งได้จัดให้มีการแสดงพลังครั้งใหญ่ เพื่อปลุกเร้าจิตสำนึกเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่นับวันยิ่งถูกมนุษย์ทำลาย ในการแสดงพลังครั้งนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่า 20 ล้านคน และปรากฏขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ เกือบทั้งสหรัฐ หลังจากนั้นความห่วงใยปัญหาสภาพแวดล้อมของสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มพูนขึ้นและมีการออกกฎหมายควบคุมการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับธรรมชาติอีกด้วย...

สำหรับในประเทศไทยเริ่มพูดถึง “วันคุ้มครองโลก”ครั้งแรก เมื่อปี 2533 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลังจาก สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี กระทำอัตวินิบาตกรรม อาจารย์และนักศึกษา 16 สถาบันได้ร่วมกันจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้น เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่าอนุรักษ์ และตระหนักถึงวิกฤติที่เกิดจากการทำร้ายสัตว์ป่า และทำลายป่าไม้ประเทศไทย รวมทั้งยังได้จัดงานเพื่อหาทุนเข้า มูลนิธิสืบนาคะเสถียร   เพื่อใช้ในการปกป้องรักษาผืนป่าที่เป็นมรดกของโลกอีกด้วย

“คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดภัยต่างๆ จึงยังคงบริโภคกันตามใจตนเอง ตามกระแสนิยม สนใจแต่สิ่งที่จะอำนวยความสะดวก ทำให้ตนเองมีความสุขสบายเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาที่จะเกิดกับคนรุ่นหลังๆ ซึ่งสิ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนักถึงคือ เราจะบริโภคกันแบบที่เป็นมาในอดีตไม่ได้อีกแล้ว ต้องมีการปรับเปลี่ยนเสียใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ เช่น การใช้รถยนต์มีผลต่อสภาพอากาศอย่างชัดเจนเพราะยิ่งรถมาก ก็ยิ่งมีก๊าซคาบอนไดออกไซด์มาก เราควรลดการใช้รถยนต์ให้น้อยลง เดินทางให้น้อยลง บางรายขับรถไปตั้งไกล เพื่อไปรับประทานอาหารหนึ่งมื้อ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องไม่จำเป็น เราควรซื้อใกล้บ้าน และรับประทานใกล้บ้าน เพื่อลดก๊าซพิษต่างๆ ลง หากจำเป็นก็ให้ใช้ขนส่งมวลชน หรือหันมาใช้จักรยานหรือเดินออกกำลังกายน่าจะดีกว่า อันนี้เป็นแนวทางที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติ ไม่ใช่แค่คิดเฉยๆ ต้องทำได้จริงด้วย”ดร.จิรพลกล่าว


ดร.จิรพล บอกต่อว่า เราควรปรับเปลี่ยนการใช้สิ่งของบางอย่างที่อาจเกิดผลเสียต่อธรรมชาติ เช่น น้ำที่ใส่ขวดพลาสติกถ้าเลิกได้ ก็ควรเลิกใช้ เพราะพลาสติกย่อยสลายยาก มันสร้างปัญหามากกว่าสร้างประโยชน์ ทางที่ดีเราควรพกพาขวดน้ำที่สามารถใช้ซ้ำได้ที่เป็นของตนเอง หลีกเลี่ยงการทานผักผลไม้นอกฤดูกาล และมาจากต่างประเทศ และที่สำคัญควรใช้ถุงพลาสติกให้น้อยลงเพราะเป็นตัวการในการเพิ่มก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว และอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง รู้หรือไม่ว่า เปลือกกล้วยและเปลือกสับปะรดที่ทิ้งใส่ถุงและปิดปากถุงไว้นั้น เมื่อมีการย่อยสลายจะเกิด “แก๊สมีเทน”ขึ้น ซึ่งอันตรายกว่าก๊าซคาบอนไดออกไซเสียอีก เป็นการทำร้ายธรรมชาติเช่นกัน ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกบ้านจะต้องตระหนักถึงผลเสียและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสียที



“นอกจากนี้การใส่เสื้อผ้าก็มีส่วนในการช่วยโลกเราได้ ซึ่งเราควรหันมาใส่เสื้อผ้าสีสัน แทนการใส่เสื้อผ้าสีขาว เพราะการใส่เสื้อสีขาวจะเป็นตัวเพิ่มแรงกดดันให้แก่ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม ผ้าขาวจำเป็นต้องใช้น้ำ ผงซักฟอกและน้ำยากัดขาวมากกว่าผ้าสีอื่น จึงต้องหลีกเลี่ยง นี่รวมไปถึงผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนผ้าเช็ดตัวก็ควรหลีกเลี่ยงสีขาวด้วยเช่นกัน”ดร.จิรพลกล่าว


อุปนายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ในวันคุ้มครองโลกนี้ถือเป็นวันดี ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการที่เราทุกคน จะหันมาดูแลโลกอย่างจริงจัง ช่วยกันส่งเสริมให้การรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้มันขยายตัวเร็วขึ้น เพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะปัจจุบันถือว่าคนยังไม่ตื่นตัวเรื่องของการอนุรักษ์ มัวแต่หันไปสนใจเรื่องบ้านเมือง จนลืมมองย้อนดูโลกว่ากำลังถูกทำร้าย ซึ่งเรื่องของโลกใบนี้ จะอยู่ต่อไปได้หรือไม่ได้นั้น สำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ อย่ารอให้สถานการณ์มันรุนแรงไปกว่านี้ แล้วค่อยลงมือปฏิบัติ เพราะนั้นคือความประมาท และก็จะไม่ทันการเสียแล้ว..

 เมื่ออนาคตของโลกทั้งใบอยู่ในมือเราทุกคน  อย่าถามว่าหน้าที่นี้ใครต้องดูแล เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว เราทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้โลกของเราเป็นโลกที่น่าอยู่เพื่อคนรุ่นหลังๆต่อไป ก่อนจะไม่มีโลกให้อยู่ต่อไปนะคะ



ขอบคุณข้อมูลจาก:http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/21885




วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ภาวะโลกร้อน กับ ระบบนิเวศ



          
  ภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุหลักของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั่วโลก ระบบนิเวศน้ำจืดที่ถูกคุกคาม ก็มีบทบาทอย่างมากต่อปัญหานี้ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมาที่ราบสองฝั่งแม่น้ำสายใหญ่ๆได้ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และการพัฒนาอื่นๆ ทั่วยุโรป ที่พักอาศัยใหม่ๆ ถนน สาธารณูปโภคพื้นฐานถูกสร้างบนพื้นที่ อันเป็นที่รองรับน้ำหลากแม่น้ำหลายสายในยุโรปถูกกั้นด้วยเขื่อน และถมตลิ่งสูงเพื่อประโยชน์ในการขนส่งผลิตกระแสไฟฟ้าเปิดพื้นที่เพื่อการเกษตรและการก่อสร้างต่างๆแต่ศักยภาพในการรองรับปริมาณน้ำตามธรรมชาติ ในที่ราบริมฝั่งแม่น้ำ ได้สูญหายไป ซึ่งที่ราบสองฝั่งแม่น้ำ ช่วยระบายกระแสน้ำไปอย่างช้าๆ และปลอดภัย เป็นการทำความสะอาดแม่น้ำตามธรรมชาติเมื่อไม่มีพื้นที่ เช่นนั้นกระแสน้ำที่ถูกบีบให้ไหลในแม่น้ำที่มีตลิ่งสูง จึงรุนแรง ประกอบกับภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดพายุฝนถล่มหนักอยู่บ่อยครั้ง กระแสน้ำที่ล้นตลิ่งก็จะเอ่อท่วมบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม  กวาดทุกอย่างให้หายวับไปในชั่วพริบตา





เมื่อ 100 ปีก่อน ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก
ยังไม่มีความเข้มข้นมากนัก คลื่นความร้อนจึงสะท้อนออกนอกโลกได้มาก



กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทำให้ก๊าซเรือนกระจก
ในชั้นบรรยากาศของโลกมีความเข้มข้นขึ้น คลื่นความร้อนจึงสะสมอยู่บริเวณพื้นผิวโลก



สาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งพูดกันหรือเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ปัญหาโลกร้อนได้เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว นับแต่ที่มนุษย์เริ่มรู้จักเครื่องจักรไอน้ำและนำเอาเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหิน และน้ำมัน ขึ้นมาใช้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ ชั้นบรรยากาศในปริมาณมากโดยน้ำมือของมนุษย์ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้เมื่อราวศตวรรษก่อนกำลังเป็นความจริงแล้วในปัจจุบัน ประมาณปี ค.ศ. 1890 Svante Arrhenius นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศกับอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและพบว่าหากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศของโลกลดลงครึ่งหนึ่งจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกลดลงถึง5องศาเซลเซียส ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเริ่มต้นยุคอุตสาหกรรม มีการปล่อยก๊าซต่างๆขึ้นสู่อากาศมากขึ้น Svante ทำนายว่าในอนาคตโลกจะร้อนขึ้นจากการเผาไหม้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณมหาศาลลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศของโลก โดยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าภาวะเรือนกระจก ภาวะเรือนกระจกก็คล้ายกับการที่เราสร้างเรือนกระจกกลางแจ้ง  แสงแดดสามารถผ่านเข้ามาในเรือนกระจก แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นไม่สามารถระบายออกข้างนอกได้ ทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปรกติชั้นบรรยากาศของโลกจะประกอบด้วยก๊าซชนิดต่างๆ และไอน้ำ เมื่อรังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามายังพื้นผิวโลก มันจะถูกดูดกลืนไว้ด้วยพื้นน้ำ พื้นดิน พืช และสัตว์ หลังจากนั้นก็จะคายออกมาเป็นพลังงานในรูปของรังสีคลื่นยาวอินฟราเรด ซึ่งเป็นคลื่นความร้อน กลับขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศและบางส่วนก็ถูกกักเก็บไว้ โดยก๊าซในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกดังนั้นที่ผ่านมาโลกของเราจึงสามารถรักษาอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม ไม่ร้อนจัดเหมือนดาวศุกร์ หรือเย็นจัดอย่างดาวอังคาร แต่ปัจจุบันชั้นบรรยากาศของโลกไม่ได้อยู่ในภาวะปรกติอีกต่อไป ชั้นบรรยากาศถือได้ว่าเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุด          ในระบบนิเวศของโลกใบนี้ คาร์ล ซาแกน(Carl Sagan) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่งเคยกล่าวว่า “หากคุณเอาน้ำยาขัดเงามาทาลูกโลกความหนาของชั้นน้ำยาก็เปรียบได้กับชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับขนาดของโลก” ทุกวันนี้ชั้นบรรยากาศของโลกถูกปกคลุมด้วยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไป ก๊าซเรือนกระจกนั้นประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก รวมถึงก๊าซมีเทน ก๊าซซีเอฟซี ก๊าซโอโซน ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในการดูดกลืนและเก็บกักรังสีอินฟราเรด ดังนั้นรังสีอินฟราเรดที่ควรจะสะท้อนออกนอกโลก ก็จะถูกเก็บกักสะสมไว้ในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ







 นอกจากปัญหาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้วภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้บางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบหลายแห่งทั่วโลกลดลง เกิดความอดอยากเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง  จากการศึกษาของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติพบว่า ผลผลิตข้าวจะลดลงร้อยละ 15 เมื่ออากาศร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ในทวีปแอฟริกานักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้น้ำในแม่น้ำต่างๆจะมีปริมาณลดลงร้อยละ 25 อันจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการประมง ผู้คนกว่า 20 ล้านคนจะไม่มีอาหารพอเลี้ยงชีพสัตว์ป่าหลายชนิดจะขาดแคลนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และอาจส่งผลให้สัตว์ป่าในแอฟริกาตั้งแต่นกไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องสูญพันธุ์  ความแห้งแล้งยังก่อให้เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงทั่วโลก ตั้งแต่ป่าในสหรัฐอเมริกา ป่าแอมะซอนในบราซิล ไปจนถึงป่าในออสเตรเลีย ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเกิดไฟไหม้ป่าฝนเขตร้อนในประเทศอินโดนีเซีย รุนแรงขึ้นทุกปี พื้นที่ป่าเสียหายถึง 12 ล้าน 5 แสนไร่ ขณะที่ฤดูร้อนปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อนอย่างรุนแรงได้แผ่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 35,000 คน ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพายุหมุนในทะเลถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ไซโคลน และพายุไต้ฝุ่น ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เมืองที่อยู่ตามชายฝั่งจะได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของพายุบ่อยครั้ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 พายุเฮอริเคนแคทรีนา (Katrina) ได้พัดถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างย่อยยับ มีผู้เสียชีวิตนับพันคนและในปีก่อนหน้านั้น พายุไต้ฝุ่นถึง 10 ลูกได้พัดถล่มเกาะญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์ จากที่เคยทำสถิติปีละ 7 ลูก เช่นเดียวกับ
พายุไซโคลนที่พัดถล่มประเทศออสเตรเลียอย่างรุนแรง ไม่แพ้ประเทศในแถบทะเลจีนใต้ที่มีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้าถล่มเกือบ 20 ลูกในช่วงปีที่ผ่านมาจากเดิมที่มีเฉลี่ยปีละ 10 ลูก ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ตั้งแต่ประเทศจีนญี่ปุ่น เวียดนาม ไทย พม่าบังกลาเทศจนถึงอินเดียเช่นที่เมืองมุมไบประเทศอินเดียในเดือนกรกฎาคม 2005 วัดปริมาณน้ำฝนได้ถึงระดับ 37 นิ้วภายใน 24 ชั่วโมง

          ผลกระทบสำคัญอีกประการคือการระบาดของเชื้อโรคชนิดต่างๆเนื่องจากแมลงหลายชนิดที่เป็นพาหะสำคัญของเชื้อโรคมีการกระจายพันธุ์ได้ดีขึ้น อาทิ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้วงจรชีวิตของยุงมีระยะสั้นลงและยุงยังสามารถอพยพไปอยู่ในที่ที่เคยมีอากาศเย็นได้ ภูเขาหลายแห่งและพื้นที่ที่ไม่เคยมียุงมาก่อนกลับพบว่ามียุงแพร่กระจายเข้าไป ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคมาลาเรียอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์พบว่า ทุกวันนี้มีผู้ได้รับเชื้อมาลาเรียประมาณ 500ล้านคนเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่านับจากเมื่อปีค.ศ.1990โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอฟริก าขณะที่มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นถึงปีละ15ล้านคนโดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและมีการคำนวณว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น1 องศาเซลเซียส จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงถึงร้อยละ 47 นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นครั้งแรกในเทือกเขาแอนดีสประเทศชิลี  ยังไม่นับรวมการระบาดของโรคหลายชนิด อาทิไข้อหิวาต์ไข้สมองอักเสบ ฯลฯ   และการแพร่กระจายของแมลงศัตรูพืช ที่เป็นต้นเหตุของการทำลายพืชผลการเกษตรทั่วโลกองค์การอนามัยโลกประมาณว่าในแต่ละปีประชากร 160,000 คนป่วยตายจากโรคที่มีผลมาจากภาวะโลกร้อนอุตสาหกรรมประกันภัยก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาบริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่่่ความเสียหายจากภัยพิบัติ อันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม ความแห้งแล้งการกัดเซาะชายฝั่ง สูงถึง 15 เท่าบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
ได้คำนวณว่า ในปี ค.ศ. 2050 ความเสียหายจากภาวะโลกร้อนจะมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและสำหรับประเทศทวีปเอเชียอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่ง เป็นตัวทำรายได้สำคัญของประเทศจะได้รับความเสียหายมากที่สุด



ที่มา:http://www.thaigoodview.com/


วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สัตว์ป่าสงวน


สัตว์ป่าสงวน ๑๕  ชนิด
                     
สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก กำหนดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและ คุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓ จำนวน ๙ ชนิด เป็นสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เนื้อทราย เลียงผา และกางผา สัตว์ป่าสงวนเหล่านี้หายาก หรือใกล้จะสูญพันธุ์หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคามเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการ ควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าหรือ CITES ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ.๒๕๑๘ และได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ นับเป็นสมาชิกลำดับที่ ๘๐ จึงได้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับเดิม และตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕   ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕             สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่หมายถึงสัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้  และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา  ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวก โดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไข หรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ อย่างยิ่ง ๗ ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์   เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก ๑ ชนิด   คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม ๘ ชนิด  รวมเป็น ๑๕ ชนิด   ได้แก่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ และพะยูน 

Image
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรPseudochelidon sirintarae 

ลักษณะ : นกนางแอ่นที่มีลำตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร สีโดยทั่วไปมีสีดำเหลือบเขียวแกมฟ้า โคนหางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่ มีวงสีขาวรอบตา ทำให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมา จึงเรียกว่านกตาพอง นกที่โตเต็มวัย มีแกนขนหางคู่กลางยื่นยาวออกมา ๒ เส้น

อุปนิสัย : แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และที่อาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ ในบริเวณบึงบอระเพ็ด นกเจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอื่นๆ ที่เกาะอยู่ตามใบอ้อ และใบสนุ่นภายในบึงบอระเพ็ด บางครั้งก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบ และนกจาบปีกอ่อน กลุ่มนกเหล่านี้มีจำนวนนับพันตัว อาหารเชื่อได้ว่าได้แก่แมลงที่โฉบจับได้ในอากาศ

ที่อยู่อาศัย : อาศัยอยู่ตามดงอ้อและพืชน้ำในบริเวณบึงบอระเพ็ด

เขตแพร่กระจาย : พบเฉพาะในประเทศไทย พบในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว

สถานภาพ : นกชนิดนี้สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ จังหวัดนครสวรรค์ หลังจากการค้นพบครั้งแรกแล้วมีรายงานพบอีก ๓ ครั้ง แต่มีเพียง ๖ ตัวเท่านั้น นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์: นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกที่สำคัญอย่างยิ่งในด้านการศึกษาความสัมพันธ์ของนกนางแอ่น เพราะนกชนิดที่มีความสัมพันธ์กับนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมากที่สุด คือนกนางแอ่นคองโก (Pseudochelidon euristomina ) ที่พบตามลำธารในประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก แหล่งที่พบนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ห่างจากกันถึง ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ประชากรในธรรมชาติของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเชื่อว่ามีอยู่น้อยมาก เพราะเป็นนกชนิดที่โบราณที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่ละปีในฤดูหนาวจะถูกจับไปพร้อมๆกับนกนางแอ่นชนิดอื่น นอกจากนี้ที่พักนอนในฤดูหนาว คือ ดงอ้อ และพืชน้ำอื่นๆที่ถูกทำลายไปโดยการทำการประมง การเปลี่ยนหนองบึงเป็นนาข้าว และการควบคุมระดับน้ำในบึงเพื่อการพัฒนาหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อการคงอยู่ของพืชน้ำ และต่อนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมาก  

Image
แรดRhinoceros sondaicus 

ลักษณะ : แรดจัดเป็นสัตว์จำพวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓ เล็บทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร น้ำหนักตัว ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม แรดมีหนังหนาและมีขนแข็งขึ้นห่างๆ สีพื้นเป็นสีเทาออกดำ ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง ๓ รอย บริเวณหัวไหล่ด้านหลังของขาคู่หน้า และด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน ๒๕ เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึ้นมา

อุปนิสัย : ในอดีตเคยพบแรดหากินร่วมเป็นฝูง แต่ในปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน จึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท่องนานประมาณ ๑๖ เดือน

ที่อยู่อาศัย: แรดอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ หรือตามป่าทึบริมฝั่งทะเล ส่วนใหญ่จะหากินอยู่ตามพื้นที่ราบ ไม่ค่อยขึ้นบนภูเขาสูง

เขตแพร่กระจาย : แรดมีเขตกระจายตั้งแต่ประเทศบังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทางแหลมมลายู สุมาตรา และชวา ปัจจุบันพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่า เกือบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียแล้ว เชื่อว่ายังอาจจะมีคงเหลืออยู่บ้างทางเทือกเขาตะนาวศรี และในป่าลึกตามแนวรอยต่อจังหวัดระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี

สถานภาพ : ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1ของอนุสัญญา CITES ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S.Endanger Species

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เช่นเดียวกับแรดที่พบบริเวณอื่นๆ ที่พบในประเทศไทยถูกล่าและทำลายอย่างหนัก เพื่อต้องการนอหรือส่วนอื่นๆ เช่น กระดูก เลือด ฯลฯ ซึ่งมีคุณค่าสูงยิ่ง เพื่อใช้ในการบำรุงและยาอื่นๆ นอกจากนี้บริเวณป่าที่ราบที่แรดชอบอาศัยอยู่ก็หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและเกษตรกรรมจนหมด



กระซู่ Dicerorhinus sumatrensis   


ลักษณะ : กระซู่เป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแรด แต่มีลักษณะลำตัวเล็กกว่า ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑-๑.๕ เมตร น้ำหนักประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม มีหนังหนาและมีขนขึ้นปกคลุมทั้งตัว โดยเฉพาะในตัวที่มีอายุน้อย ซึ่งขนจะลดน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น สีลำตัวโดยทั่วไปออกเป็นสีเทา คล้ายสีขี้เถ้า ด้านหลังลำตัว จะปรากฏรอยพับของหนังเพียงพับเดียว ตรงบริเวณด้านหลังของขาคู่หน้า กระซู่ทั้งสองเพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ามีความยาวประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ส่วนนอหลังมีความยาวไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร หรือเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมาในตัวเมีย

อุปนิสัย : กระซู่ปีนเขาได้เก่ง มีประสาทรับกลิ่นดีมาก ออกหากินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พวกใบไม้ และผลไม้ป่าบางชนิด ปกติกระซู่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ หรือตัวเมียเลี้ยงลูกอ่อน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว มีระยะตั้งท้อง ๗-๘ เดือน ในที่เลี้ยงกระซู่มีอายุยืน ๓๒ ปี

ที่อยู่อาศัย : กระซู่อาศัยอยู่ตามป่าเขาที่มีความหนารกทึบ ลงมาอยู่ในป่าที่ราบต่ำ ในตอนปลายฤดูฝนซึ่งในระยะนั้นมีปรักและน้ำอยู่ทั่วไป

เขตแพร่กระจาย : กระซู่มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนียว ในประเทศไทยมีรายงานว่าพบกระซู่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งได้แก่ ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี และคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานี และในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และเขื่อนบางลาง จังหวัดยะลา และบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย

สถานภาพ : ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไว้ในพวกที่ใกล้จะสูญพันธุ์

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : กระซู่ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอานอ และอวัยวะทุกส่วนของตัว ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นยา กระซู่จึงถูกล่าอยู่เนืองๆ ประกอบกับกระซู่มีอยู่ในธรรมชาติน้อย และประชากรแต่ละกลุ่มและแม้แต่กลุ่มเดียวกันก็อยู่ห่างกันมากไม่มีโอกาสจับคู่ขยายพันธุ์ได้

 Image
กูปรีหรือโคไพรBos sauveli

ลักษณะ : กูปรีเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับ กระทิงและวัวแดง เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร น้ำหนัก ๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวเมียมาก สีโดยทั่วไปเป็นสีเทาเข้มเกือบดำ ขาทั้ง ๔ มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง ในตัวผู้ที่มีอายุมาก จะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน เขากูปรีตัวผู้กับตัวเมียจะแตกต่างกัน โดยเขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง ตัวเมียมีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบน ไม่มีพู่ที่ปลายเขา

อุปนิสัย : อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า ใบไม้ดินโป่งเป็นครั้งคราว ผสมพันธุ์ในราวเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๙ เดือน จะพบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว

ที่อยู่อาศัย : ปกติอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง ที่มีทุ่งหญ้าสลับกับป่าเต็งรังและในป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้ง

เขตแพร่กระจาย : กูปรีมีเขตแพร่กระจายอยู่ในไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา

สถานภาพ : ประเทศไทยมีรายงานว่าพบกูปรีอยู่ตามแนวเทือกเขาชายแดนไทย-กัมพูชา และลาว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีรายงานพบกูปรีในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก กูปรีจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอยู่ใน Appendix I ตามอนุสัญญา CITES

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันกูปรีเป็นสัตว์ป่าที่หายากกำลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากโลก เนื่องจากการถูกล่าเป็นอาหารและสภาวะสงครามในแถบอินโดจีน ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยเฉพาะกูปรี ทำให้ยากในการอยู่ร่วมกันในการอนุรักษ์กูปรี 

 Image
ควายป่า Bubalus bubalis  

ลักษณะ : ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ ควายบ้าน แต่มีลำตัวขนาดลำตัวใหญ่กว่า มีนิสัยว่องไว และดุร้ายกว่าควายบ้านมาก ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ ๒ เมตร น้ำหนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม สีลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทา หรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง ๔ สีขาวแก่ หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี (V ) ควายป่ามีเขาทั้ง ๒เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลี้ยง วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม

อุปนิสัย : ควายป่าชอบออกหากินในเวลาเช้า และเวลาเย็น อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ควายป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตามพุ่มไม้ หรือนอนแช่ปรักโคลนตอนช่วงกลางวัน ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ฤดูผสมพันธุ์อยู่ราวๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ตั้งท้องนาน ๑๐ เดือน เท่าที่ทราบควายป่ามีอายุยืน ๒๐-๒๕ ปี

เขตแพร่กระจาย : ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอินเดีย ไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ประเทศเวียดนาม ในประเทศไทยปัจจุบันมีควายป่าเหลืออยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี

สถานภาพ : ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก จนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการถูกล่าเพื่อเอาเนื้อและเอาเขาที่สวยงาม และการสูญเชื้อพันธุ์ เนื่องจากไปผสมกับควายบ้าน ที่มีผู้เอาไปเลี้ยงปล่อยเป็นควายปละในป่า ในกรณีหลังนี้บางครั้งควายป่าจะติดโรคต่างๆ จากควายบ้าน ทำให้จำนวนลดลงมากยิ่งขึ้น
  
 Image


ละองหรือละมั่ง Cervus eldi 

ลักษณะ : เป็นกวางที่มีขนาดโตกว่าเนื้อทราย แต่เล็กกว่ากวางป่า เมื่อโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร น้ำหนัก ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตัวทั่วไปมีสีน้ำตาลแดง ตัวอายุน้อยจะมีจุดสีขาวตามตัว ซึ่งจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆ เมื่อโตเต็มที่ในตัวเมีย แต่จุดขาวเหล่านี้จะหายไปจนหมด ในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนที่บริเวณคอยาว และมีเขาและเขาของละอง จะมีลักษณะต่างจากเขากวางชนิดอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งที่กิ่งรับหมาที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า จะทำมุมโค่งต่อไปทางด้านหลัง และลำเขาไม่ทำมุมหักเช่นที่พบในกวางชนิดอื่นๆ
อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ออกหากินใบหญ้า ใบไม้ และผลไม้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน แต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ร่ม ละอง ละมั่งผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน ๘ เดือน ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว

ที่อยู่อาศัย : ละองชอบอยู่ตามป่าโปร่ง และป่าทุ่ง โดยเฉพาะป่าที่มีแหล่งน้ำขัง
เขตแพร่กระจาย : ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเกาะไหหลำ ในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบริเวณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา

สถานภาพ : มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ละอง ละมั่งจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ใน Appendix
สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบัน ละอง ละมั่งกำลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพป่าโปร่ง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำลายเป็นไร่นา และที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทั้งยังถูกล่าอย่างหนักนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

Image 

สมันหรือเนื้อสมัน Cervus schomburki 

ลักษณะ : เนื้อสมันเป็นกวางชนิดหนึ่งที่เขาสวยงามที่สุด ในประเทศไทย เมื่อโตเต็มวัยจะมีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร สีขนบนลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มและเรียบเป็นมัน หางค่อนข้างสั้น และมีสีขางทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้ ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่ และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง ดูคล้ายสุ่มหรือตะกร้า สมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กวางเขาสุ่ม

อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์ และตัวผู้จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้ และใบไม้หลายชนิด

ที่อยู่อาศัย
 : สมันจะอาศัยเฉพาะในทุ่งโล่ง ไม่อยู่ตามป่ารกทึบ เนื่องจากเขามีกิ่งก้านสาขามาก จะเกี่ยวพันพันกับเถาวัลย์ได้ง่าย

เขตแพร่กระจาย
 : สมันเป็นสัตว์ชนิดที่มีเขตแพร่กระจายจำกัด อยู่ในบริเวณที่ราบภาคกลางของประเทศเท่านั้น สมัยก่อนมีชุกชุมมากในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เช่น นครนายก ปทุมธานี และปราจีนบุรี และแม้แต่บริเวณพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เช่น บริเวณพญาไท บางเขน รังสิต ฯลฯ

สถานภาพ
 :  สมันได้สูญพันธุ์ไปจากโลกและจากประเทศไทยเมื่อเกือบ ๖๐ ปีที่แล้ว สมันยังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร

สาเหตุของการสูญพันธุ์
 : เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยได้ถูกเปลี่ยนเป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด และสมันที่เหลืออยู่ตามที่ห่างไกลจะถูกล่าอย่างหนักในฤดูน้ำหลากท่วมท้องทุ่ง ในเวลานั้นสมันจะหนีน้ำขึ้นไปอยู่รวมกันบนที่ดอนทำให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย

 Image
กวางผาNaemorhedus griseus



ลักษณะ : กวางผาเป็นสัตว์จำพวก แพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา แต่มีขนาดเล็กกว่า เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่มากกว่า ๕๐ เซนติเมตร เพียงเล็กน้อย และมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบนลำตัวสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลปนเทา มีแนวสีดำตามสันหลงไปจนจดหาง ด้านใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง หางสั้นสีดำ เขาสีดำมีลักษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขา และปลายเรียวโค้งไปทางด้านหลัง
อุปนิสัย : ออกหากินตามที่โล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้ และชะง่อนหินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พืชที่ขึ้นตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ และลูกไม้เปลือกแข็งจำพวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒ ตัว ผสมพันธุ์ในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตั้งท้องนาน ๖ เดือน

ที่อาศัย : กวางผาจะอยู่บนยอดเขาสูงชันในที่ระดับน้ำสูงชันมากกว่า ๑,๐๐๐ เมตร

เขตแพร่กระจาย : กวางผามีเขตแพร่กระจายตั้งแต่แคว้นแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึงแคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่าและตอนเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมีรายงานพบกวางผาตามภูเขาที่สูงชันในหลายบริเวณ เช่น ดอยม่อนจอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ดอยเลี่ยม ดอยมือกาโด จังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณสองฝั่งลำน้ำปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดตาก

สถานภาพ : กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากการบุกรุกถางป่าที่ทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขาในระยะเริ่มแรกและชาวบ้านในระยะหลัง ทำให้ที่อาศัยของกวางผาลดน้อยลง เหลืออยู่เพียงตามยอดเขาที่สูงชัน ประกอบกับการล่ากวางผาเพื่อเอาน้ำมันมาใช้ในการสมานกระดูกที่หักเช่นเดียวกับเลียงผา จำนวนกวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยู่น้อยมาก 

 Image
นกแต้วแล้วท้องดำ Pitta gurneyi  

ลักษณะ : เป็นนกขนาดเล็ก ลำตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร จัดเป็นนกที่มีความสวยงามมาก นกตัวผู้มีส่วนหัวสีดำ ท้ายทอยมีสีฟ้าประกายสดใส ด้านหลังสีน้ำตาลติดกับอกตอนล่าง และตอนใต้ท้องที่มีดำสนิท นกตัวเมียมีสีสดใสน้อยกว่า โดยทั่วไปสีลำตัวออกน้ำตาลเหลือง ไม่มีแถบดำบนหน้าอกและใต้ท้อง นกอายุน้อยมีหัว และคอสีน้ำตาลเหลือง ส่วนอกใต้ท้องสีน้ำตาล ทั่วตัวมีลายเกล็ดสีดำ

อุปนิสัย : นกแต้วแล้วท้องดำทำรังเป็นซุ้มทรงกลม ด้วยแขนงไม้และใบไผ่ วางอยู่บนพื้นดิน หรือในกอระกำ วางไข่ ๓-๔ ฟอง ทั้งพ่อนกและแม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลี้ยงลูก อาหารได้แก่หนอนด้วง ปลวก จิ้งหรีดขนาดเล็ก และแมลงอื่นๆ

ที่อยู่อาศัย : นกแต้วแล้วท้องดำชนิดนี้พบอาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณป่าดงดิบต่ำ

เขตแพร่กระจาย : พบตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า ลงมาจนถึงเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทย กับประเทศมาเลเซีย

สถานภาพ : เคยพบชุกชุมในระยะเมื่อ ๘๐ ปีก่อน แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์เลยตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จนมีรายงานพบครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑ นกแต้วแล้วท้องดำ ได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ชนิดที่หายากชนิดหนึ่ง ในสิบสองชนิดที่หายากของโลก

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : นกชนิดนี้ จัดเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่เฉพาะในป่าดงดิบต่ำ ซึ่งกำลังถูกตัดฟันอย่างหนัก และสภาพที่อยู่เช่นนี้มีน้อยมากในบริเวณเขตคุ้มครองในภาคใต้ นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นนกที่หายากเป็นที่ต้องการของตลาดนกเลี้ยง จึงมีราคาแพง อันเป็นแรงกระตุ้นให้นกแต้วแล้วท้องดำถูกล่ามากยิ่งขึ้น

 Image

นกกระเรียน Grus antigone  

ลักษณะ : เป็นนกขนาดใหญ่เมื่อยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขนปกคลุม มีลักษณะเป็นปุ่มหยาบสีแดง ยกเว้นบริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทา ในฤดูผสมพันธุ์มีสีแดงส้มสดขึ้นกว่าเดิม ขนลำตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกมฟ้า มีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุมส่วนหาง จะงอยปากสีออกเขียว แข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้า นกอายุน้อยมีขนสีน้ำตาลทั่วตัว บนส่วนหัวและลำคอมีขนสีน้ำตาลเหลืองปกคลุม ในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิดย่อย Sharpii ซึ่งไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลำคอ

อุปนิสัย : ออกหากินเป็นคู่และเป็นกลุ่มครอบครัว กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลื้อยคลาน กบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช เมล็ดข้าวและยอดหญ้าอ่อน ทำรังวางไข่ในฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน ปกติวางไข่จำนวน ๒ ฟอง พ่อแม่นกจะเลี้ยงดูลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้อย ๑๐ เดือน

ที่อยู่อาศัย : ชอบอาศัยตามทุ่งหญ้าที่ชื้นแฉะ และหนองบึงที่ใกล้ป่า

เขตแพร่กระจาย : นกกระเรียนชนิดย่อยนี้ มีเขตแพร่กระจายจากแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุนประเทศฟิลิปปินส์ บางครั้งพลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซีย และยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึ่งในรัฐควีนแลนด์ประเทศออสเตรเลีย

สถานภาพ : นกกระเรียนเคยพบอยู่ทั่วประเทศ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ พบ ๔ ตัว ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดปทุมธานี จากนั้นมีรายงานที่ไม่ยืนยันว่าพบนกกระเรียน ๔ ตัว ลงหากินในทุ่งนาอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๘
 Image
แมวลายหินอ่อน Pardofelis marmorata  

ลักษณะ : แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ ๔-๕ กิโลกรัม ใบหูเล็กมนกลมมีจุดด้านหลังใบหู หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชัด สีขนโดยทั่วไปเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง มีลายบนลำตัวคล้ายลายหินอ่อน ด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า ด้านหลังขาและหางมีจุดดำ เท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิ้ว นิ้วมีปลอกเล็บสองชั้น และเล็บพับเก็บได้ในปลอกเล็บทั้งหมด

อุปนิสัย : ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่มักอยู่บนต้นไม้ อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบทุกชนิดตั้งแต่แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก งู นก หนู กระรอก จนถึงลิงขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย

ที่อยู่อาศัย : ในประเทศไทยพบอยู่ตามป่าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่าดงดิบชื้น ในภาคใต้

เขตแพร่กระจาย : แมวป่าชนิดนี้มีเขตแพร่กระจายตั้งแต่ประเทศเนปาล สิกขิม แคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ผ่านทางตอนเหนือของพม่า ไทย อินโดจีน ลงไปตลอดแหลมมลายู สุมาตราและบอร์เนียว

สถานภาพ : แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ในAppendix I

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์: เนื่องจากแมวลายหินอ่อนเป็นสัตว์ที่หาได้ยาก และมีปริมาณในธรรมชาติค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับแมวป่าชนิดอื่นๆ จำนวนจึงน้อยมาก และเนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำลาย และถูกล่าหรือจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีราคาสูง จำนวนแมวลายหินอ่อนจึงน้อยลง ด้านชีววิทยาของแมวป่าชนิดนี้ยังรู้กันน้อยมาก

 Image

สมเสร็จ Tapirus indicus  

ลักษณะ : สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี่ เท้าหน้ามี ๔ เล็บ และเท้าหลังมี ๓ เล็บ จมูกและริมฝีปากบนยื่นออกมาคล้ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไข่ หางสั้น ตัวเต็มวัยมีน้ำหนัก ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม ส่วนหัวและลำตัวเป็นสีขาวสลับดำ ตั้งแต่ปลายจมูกตลอดท่อนหัวจนถึงลำตัว บริเวณระดับหลังของขาคู่หน้ามีสีดำ ท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่หลัง จะเป็นสีดำ ขอบปลายหูและริมฝีปากขาว ลูกสมเสร็จลำตัวมีลายเป็นแถบ ดูลายพร้อยคล้ายลูกแตงไทย

อุปนิสัย : สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้ กิ่งไม้ หน่อไม้ และพืชอวบน้ำหลายชนิด มักมุดหากินตามที่รกทึบ ไม่ค่อยชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่า มีประสาทสัมผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก ผสมพันธุ์ในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ ๑๓ เดือน สมเสร็จที่เลี้ยงไว้มีอายุนานประมาณ ๓๐ ปี

ที่อยู่อาศัย : สมเสร็จชอบอยู่อาศัยตามบริเวณที่ร่มครึ้ม ใกล้ห้วยหรือลำธาร

เขตแพร่กระจาย : สมเสร็จมีเขตแพร่กระจายจากพม่าตอนใต้ ไปตามพรมแดนด้านทิศตะวันตกของประเทศไทย ลงไปสุดแหลมมลายูและสุมาตรา ในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได้ในป่าดงดิบตามเทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาตะนาวศรี และป่าทั่วภาคใต้

สถานภาพ : ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญาCITES ไว้ใน Appendix I และจัดเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endanger Species Act.

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : การล่าสมเสร็จเพื่อเอาหนังและเนื้อ การทำลายป่าดงดิบที่อยู่อาศัยและหากิน โดยการตัดไม้ การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำและถนน ทำให้จำนวนสมเสร็จลดปริมาณลงจนหาได้ยาก

Image

เก้งหม้อMuntiacus feai  

ลักษณะ : เก้งหม้อมีลักษณะโดยทั่วไป คล้ายคลึงกับเก้งธรรมดา ขนาดลำตัวไล่เลี่ยกัน เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักประมาณ ๒๐ กิโลกรัม แต่เก้งหม้อจะมีสีลำตัวคล้ำกว่าเก้งธรรมดา ด้านหลังสีออกน้ำตาลเข้ม ใต้ท้องสีน้ำตาลแซมขาว ขาส่วนที่อยู่เหนือกีบจะมีสีดำ ด้านหน้าของขาหลังมีแถบขาวเห็นได้ชัดเจน บนหน้าผากจะมีเส้นสีดำอยู่ด้านในระหว่างเขา หางสั้นด้านบนสีดำตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน

อุปนิสัย : เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดี่ยว ในป่าดงดิบ ตามลาดเขา จะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ออกหากินในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และผลไม้ป่า ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว เวลาตั้งท้องนาน ๖ เดือน

ที่อยู่อาศัย : ชอบอยู่ตามลาดเขาในป่าดงดิบและหุบเขาที่มีป่าหนาทึบและมีลำธารน้ำไหลผ่าน

เขตแพร่กระจาย : เก้งหม้อมีเขตแพร่กระจาย อยู่ในบริเวณตั้งแต่พม่าตอนใต้ลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบน ของประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศไทยพบในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีลงไปจนถึงเทือกเขาภูเก็ต ในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ในจังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานีและพังงา

สถานภาพ : องค์การสวนสัตว์ ได้ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเก้งหม้อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ในปัจจุบันเก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และองค์การ IUCN จัดเก้งหม้อให้เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศ เนื่องจากมีเขตแพร่กระจายจำกัด และที่อยู่อาศัยถูกทำลายหมดไปเพราะการตัดไม้ทำลายป่า การเก็บกักน้ำเหนือเขื่อนและการล่าเป็นอาหาร เก้งหม้อเป็นเนื้อที่นิยมรับประทานกันมาก

Image 
พะยูนหรือหมูน้ำ Dugong dugon

ลักษณะ : พะยูนจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในน้ำ มีลำตัวเพรียวรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก วางตัวขนานกับพื้นในแนวราบ ไม่มีครีบหลัง ปากอยู่ตอนล่าง ของส่วนหน้าริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อหนา ลักษณะเป็นเหลี่ยมคล้ายจมูกหมู ตัวอายุน้อยมีลำตัวออกขาว ส่วนตัวเต็มวัยมีสีชมพูแดง เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักตัวประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม

อุปนิสัย : พะยูนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝูงใหญ่ ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องนาน ๑๓ เดือน และจะโตเต็มที่เมื่อมีอายุ ๙ ปี

ที่ยู่อาศัย : ชอบอาศัยหากินพืชจำพวกหญ้าทะเลตามพื้นท้องทะเลชายฝั่ง ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน

เขตแพร่กระจาย : พะยูนมีเขตแพร่กระจาย ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของทวีปอาฟริกา ทะเลแดง ตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงประเทศฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และตอนเหนือของออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบไม่บ่อยนัก ทั้งในบริเวณอ่าวไทยแถบจังหวัดระยอง และชายฝั่งทะเลอันดามัน แถบจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล

สถานภาพ : ปัจจุบันพบพะยูนน้อยมาก พยูนที่ยังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มเล็กหรืออยู่โดดเดี่ยว บางครั้งอาจจะเข้ามาจากน่านน้ำของประเทศใกล้เคียง พะยูนจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญา CITES ไว้ใน Appendix I

สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนื่องจากพะยูนถูกล่าเพื่อเป็นอาหาร ติดเครื่องประมงตาย และเอาน้ำมันเพื่อเอาเป็นเชื้อเพลิง ประกอบกับพะยูนแพร่พันธุ์ได้ช้ามาก นอกจากนี้มลพิษที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตามชายฝั่งทะเล ได้ทำลายแหล่งหญ้าทะเล ที่เป็นอาหารของพยูนเป็นจำนวนมาก จึงน่าเป็นห่วงว่าพะยูนจะสูญสิ้นไปจากประเทศในอนาคตอันใกล้นี้

 Image

เลียงผา,เยือง,กูรำ,โครำ Capricornis sumatraensis 

ลักษณะ : เลียงผาเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับ แพะและแกะ เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ประมาณ ๑ เมตร ขายาวและแข็งแรง ใบหูยาวคล้ายใบหูลา ขนตามลำตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดำ ด้านท้องขนสีจางกว่า มีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง มีเขาทั้งในตัวผู้และตัวเมีย เขามีลักษณะตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆ เรียวไปทางปลายเขาโค้ง ไปทางด้านหลังเล็กน้อย

อุปนิสัย : ในเวลากลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในพุ่มไม้ ออกหากินในตอนเย็นถึงพลบค่ำ และในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด เลียงผามีประสาทหู ตา และรับกลิ่นได้ดี ผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตกลูกครั้งละ ๑-๒ ตัว ใช้เวลาตั้งท้องราว ๗ เดือน ในที่เลี้ยง เลียงผามีอายุยาวกว่า ๑๐ ปี
ที่อาศัย : เลียงผาอาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาสูงชันมีป่าปกคลุม
เขตแพร่กระจาย : เลียงผามีเขตแพร่กระจาย ตั้งแต่แคว้นแคชเมียร์ มาตามเทือกเขาหิมาลัยจนถึงแคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่า อินโดจีน มลายู และสุมาตรา ในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงในหลายภูมิภาคของประเทศ เช่น เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาเพชรบูรณ์ และภูเขาทั่วไปในบริเวณภาคใต้ รวมทั้งบนเกาะในทะเลที่อยู่ไม่ห่างจากแผ่นดินใหญ่มากนัก

สถานภาพ : เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดเรียงผาไว้ใน Appendix I
สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ในระยะหลังเลียงผามีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการล่าอย่างหนักเพื่อเอาเขา กระดูก และน้ำมันมาใช้ทำยาสมานกระดูก และพื้นที่หากินของเลียงผาลดลงอย่างรวดเร็ว จากการทำการเกษตรตามลาดเขา และบนพื้นที่ที่ไม่ชันจนเกินไป