วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

พายุ'โรคี'ถล่มญี่ปุ่น!!



       โดยเมื่อวานนี้ (20 กันยายน) อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นโรคีนี้ได้ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมสูงแล้วในหลายจุดของเมืองนาโกย่า และอีกหลายเมืองในจังหวัดไอจิ โดยในบางพื้นที่ ระดับน้ำท่วมสูงถึงหัวเข่า ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นและไหลทะลักเข้าท่วมร้านค้าและบ้านเรือนประชาชนราว 750 หลัง เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เรือยางอพยพประชาชนที่ติดอยู่ภายในบ้านอย่างเร่งด่วน ล่าสุดมีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ราย สูญหายอีก 2 ราย

พายุไต้ฝุ่นโรคี นับเป็นภัยพิบัติล่าสุดที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน หลังพายุไต้ฝุ่นตาลัส พัดกระหน่ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100 คน ประชาชนมากกว่า 1 ล้านคน ได้รับคำเตือนในเบื้องต้นให้อพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากความวิตกว่า อิทธิพลของพายุโรคีที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก จะทำให้เกิดน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้าง

พายุโรคี พัดกระหน่ำญี่ปุ่นภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากเพิ่งเผชิญภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและสึนามิ เมื่อเดือนมีนาคม จนเกิดวิกฤติที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ทางการระบุว่า พบผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ศพ ทางภาคกลางและตะวันตกของประเทศ ส่วนที่จังหวัดกิฟุ มีผู้สูญหาย 2 คนรวมทั้งเด็กชายคนหนึ่งที่หายตัวในระหว่างเดินทางจากโรงเรียนประถมกลับไปบ้าน

ทางการได้พยายามประกาศเตือนภัยประชาชนทั่วประเทศ แต่ไม่แน่ชัดว่าจะมีคนปฏิบัติตามหรือไม่  บริษัทโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลก
ได้ปิดโรงงาน 11 แห่ง จากทั้งหมด 15แห่งในญี่ปุ่น เป็นการชั่วคราว เนื่องจากตั้งอยู่ในเส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุ โดยคาดว่าโรงงานทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางของพายุ อยู่ที่จังหวัดไอจิ ทางภาคกลางของประเทศ
         
เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศคาดว่า พายุโรคีจะสร้างความเสียหายซ้ำเติมให้ญี่ปุ่น ที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ได้เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้ประชาชน 2 หมื่นคน เสียชีวิตหรือสูญหาย และสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ชายฝั่งเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ทำลายชุมชนหลายแห่งชนพังพินาศ และทำให้เศรษฐกิจยับเยินเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์
         
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ไดอิชิ ต้องเผชิญหายนะหลังระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน เพราะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำทำให้สารกัมมันตรังสีรั่วเข้าสู่อากาศ , ทะเลและห่วงโซ่อาหาร จนเกิดเป็นมหันตภัยนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดของโลก นับตั้งแต่เกิดระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และล่าสุด เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ พายุไต้ฝุ่นตาลัส ได้พัดกระหน่ำพื้นที่ภาคกลาง กลายเป็นภัยพิบัติจากพายุที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตราว 100 คน
         
อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นโรคี ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันและดินถล่ม สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สถานีโทรทัศน์ได้แพร่ภาพประชาชนต้องเดินลุยน้ำที่สูงถึงเข่า ตามถนนหลายสาย ทางด่วนหลายสายถูกปิด เที่ยวบินมากกว่า 200 เที่ยว ถูกยกเลิกในวันนี้ และเมื่อช่วงเที่ยงวันของวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น พายุไต้ฝุ่นโรคี ได้เคลื่อนตัวอยู่ห่างจากเมืองฮามามัทสึ ในจังหวัดชิสุโอกะ ประมาณ 120 กิโลเมตร ด้วยความแรงลม 162 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

คาดว่า พายุจะพัดเข้าพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงบ่ายและเป็นไปได้ว่าจะบ่ายหน้าไปยังที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์ฟูกูชิม่า ไดอิชิ ที่คนงานยังอยู่ระหว่างการควบคุมไม่ให้สารกัมมันตรังสีรั่วไหล

       และสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ที่เกิดความกังวลว่าฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จะทำให้น้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีล้นออกไปผสมกับน้ำทะเลและน้ำในดินได้นั้น ทางโฆษกของโรงไฟฟ้าก็ออกมายืนยันด้วยเช่นกันว่า ระบบหล่อเย็นของเตาปฎิกรณ์อยู่ในการควบคุมและจะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มครั้งนี้


 ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว  โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ร่วมใจปลูกป่าชายเลน เพื่อลดภาวะโลกร้อน !!

       
              ในอนาคตคาดว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้หลายวิธี หลักๆก็เห็นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด เพราะว่าพลังงานที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้กว่าจะมาถึงให้เราได้ใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนในการผลิตมากมาย และแต่ละขั้นตอนก็จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา เพราะฉะนั้นการลดใช้พลังงานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในการเดินทางใกล้ๆ และอื่นๆอีกมากมาย การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ อย่างที่เรารู้กันดีว่าในเวลากลางวัน ต้นไม้นั้นจะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเราโดยแท้ แต่ทว่าปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ฉะนั้นถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ก็เหมือนกับช่วยเพิ่มเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเรา




พวกเราจึงตระหนักถึงภัยของภาวะโลกร้อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กลุ่มพวกเราและเพื่อนๆจึงได้เดินทางไป  ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน จ.สมุทรสงคราม   ซึ่งเป็นสถานที่เชิงอนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน  ซึ่งป่าชายเลนเป็นต้นไม้ที่อยู่ในน้ำกร่อย  และเป็นที่อยู่ของอนุบาลสัตว์น้ำและสัตว์ต่างๆมากมาย เช่น ลิงแสม ปูแสม หอย ปลา เป็นต้น 
และเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 54 พวกเราจึงได้เดินทางไปที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน เพื่อไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน   เพื่อจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ป่าชายเลน  โดยพวกเราและเพื่อนๆในห้องได้ร่วมกันปลูกป่าชายเลน เพื่อรักษาระบบนิเวศของป่าชายเลน และเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน



ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกันปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนแห่งนี้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา และยังช่วยทำให้ระบบนิเวศอยู่ในภาวะที่สมดุลอีกด้วย

ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน ปัจจุบันได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้การตอบรับที่ดี
จากนักท่องเที่ยวที่มีใจรักธรรมชาติ และสนใจในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมาก




และในวันนั้นขณะที่พวกเรากำลังปลูกต้นโกงกางอยู่นั้น พวกเราก็ได้เจอกับ พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์     ผลดี ด้วย เนื่องจากพี่ติ๊กมาถ่ายทำรายการและมาปลูกป่าชายเลนด้วยเช่นกัน  วันนั้นพวกเราจึงรู้สึกอิ่มใจที่ได้ไปปลูกป่าชายเลน และยังโชคดีได้เจอพี่ติ๊กอีกด้วย





พวกเราจึงอยากเชิญชวนเพื่อนๆและผู้ที่สนใจทุกท่าน ไปเยี่ยมชมและร่วมกันปลูกป่าชายเลนที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน หรือที่ใดก็ได้ที่เพื่อนๆคิดว่าสะดวก  เพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนให้กับโลกของเรากันเยอะๆนะค่ะ !!

ขอขอบคุณ:อาจารย์ สมใจ ฉายขจร ที่ช่วยแนะนำสถานที่ และ ติดต่อสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ในการทำกิจกรรมในครั้งนี้

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เตรียมรับมือ กรุงเทพฯจมน้ำ !!


      จากคำทำนายในแง่โหราศาสตร์ที่ฟอร์เวิร์ดเมลกันว่อนใน เวลานี้ ว่าปี 2553 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่หนักยิ่งกว่าครั้งใดๆประกอบกับมีข้อมูลทางวิชาการออกมาว่าปัญหาภาวะโลกร้อน เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง จนมีผลกระทบจะทำให้เกิดน้ำท่วมโลก พื้นดินหลายแห่งจะจมอยู่ใต้น้ำ รวมทั้งกรุงเทพมหานครของประเทศไทยด้วยได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลแ ก่ประชากรโลก โดยเฉพาะ "คนกรุงเทพฯ" และปริมณฑล"เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง แน่นอนว่านอกจากความเสียหายใหญ่หลวงทางเศรษฐกิจที่รอ อยู่เบื้องหน้าแล้ว สุขภาพจิตของคนไทยคงต้องอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่ง! "จะเป็นเช่นที่กล่าวหรือไม่- -มีคำอธิบายจาก "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้ศึกษาวิจัยประเด็นนี้เสร็จหมาดๆ แล้วส่งเปเปอร์ให้กับธนาคารโลก (World Bank) ในฐานะเจ้าของเงินทุนการวิจัยไปเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นี้เอง

           ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เล่าความเป็นมาก่อนว่า ได้ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้ 2 ปี โดยศึกษาเฉพาะกรณีของประเทศไทย เหตุเพราะว่าธนาคารโลกสนใจเรื่องนี้มาก และศึกษามาอย่างต่อเนื่องจนได้ข้อมูลว่า 4เมืองหลักในทวีปเอเชีย ได้แก่ เมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม, เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกรุงเทพฯ ประเทศไทย

    ภาพเปรียบเทียบชายฝั่งของเดิมและปัจจุบันที่ถูกน้ำท่วมเข้าไปลึกมากแล้ว

"อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะจมน้ำในปี พ.ศ.2563"

ดังนั้น จึงให้ทุนมาศึกษาวิจัยว่าความเสี่ยงมีมากขนาดไหน ประชาชนจะได้รับผลกระทบกี่ครอบครัว และความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะเป็นมูลค่าเท่าไหร่"วิธีการศึกษาผมได้ใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์ในห้องปฏิบั ติการ เป็นคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สร้างเมืองกรุงเทพฯจำลองขึ้นมา ซึ่งกรุงเทพฯ ประกอบด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองต่างๆ ระดับความสูงของพื้นดิน ระดับน้ำทะเลบริเวณเขตบางขุนเทียน จากนั้นใส่ปริมาณน้ำเหนือ น้ำหนุน และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ใส่ข้อมูลต่างๆ ลงไปให้ครบ และใช้เหตุการณ์น้ำท่วมปี 2538 เป็นฐาน..""ผล.. เราพบว่าถ้าเหตุการณ์อย่างปี 2538 เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อนาคตเราหนีไม่พ้นแน่ กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ ต้องโดนน้ำท่วมหนัก"คำว่า ""กรุงเทพฯรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้"" ของอาจารย์เสรีมีความหมายว่าผืนดินบริเวณริมทะเลทั้ง หมด โดยวัดจากริมชายทะเลเข้าไปในแผ่นดินประมาณ 10 กิโลเมตร จะถูกน้ำท่วม"โดยมีระดับความสูงของน้ำ 1.8-2.00
เมตร"


- ลักษณะของบ้านอนาคตประเทศไทยต้องมีใต้ถุนสูง ส่วนบ้านแพลอยน้ำเป็นของประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ขณะนี้ ได้ออกแบบเตรียมรับมือน้ำท่วมไว้แล้ว
- สภาพน้ำท่วมชายฝั่งด้านสมุทรปราการปัจจุบัน
""เราพบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมรุนแรง แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่าจะติดกับชายฝั่งขนาดไหน ถ้าอยู่ติดชายฝั่งระดับน้ำจะท่วมสูง1.8-2.00เมตร ถ้าลึกเข้าไปก็ลดหลั่นกันไป แต่ริมชายฝั่งอย่าง จ.สมุทรปราการ สมุทรสาคร บริเวณปากแม่น้ำจมแน่ๆ""

"สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือเหตุการณ์ปี 2538 น้ำเหนือมาหนักมาก มันไหลมา 4,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่กรุงเทพฯรับน้ำได้ 3,000 ลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์เช่นปี 2538 อีกครั้งเมื่อน้ำมาสี่พันกว่าลูกบาศก์เมตรเขาจำเป็นต ้องผลักน้ำออกไปทางซ้ายและทางขวา ก่อนเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งหมายความว่าน้ำจะท่วมชนบทอย่างมโหฬาร พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม จะโดนหนักมาก แล้วมาทาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เขตหนองแขม และเขตลาดกระบัง กทม. ก็ไม่รอด.."

สำหรับสาเหตุที่น้ำท่วมกรุงเทพฯในปี 2563จะหนักหนาสาหัสมาก ดร.เสรีบอกว่า ตัวการสำคัญ คือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะผังเมือง "พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ว่างเปล่า ลดลงไปจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง""แต่ก่อนผมจำได้ว่ามีพื้นที่ว่างเปล่าหรือพื้นที่ชุ่มน้ำของ กทม. 1,500 ตร.กม. เป็นพื้นที่สีเขียวประมาณ 40% ปัจจุบันเหลือเพียง 20%เท่านั้น และขณะนี้เรากำลังสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ รุกล้ำไปในพื้นที่ชุ่มน้ำมาก เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางระบายน้ำ ซึ่งเป็นทางน้ำไหลลงทะเลไปทางทุ่งตะวันออก บริเวณหนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง บริเวณนี้หมู่บ้านเกิดขึ้นเยอะมาก รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญหา"

อาจารย์เสรีบอกว่า ภายในปี 2563 หากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นและถ้ารัฐบาลหรือหน่วย งานที่รับผิดชอบไม่ได้ดำเนินการอะไร ไม่ได้สร้างคันดินที่จะกั้นน้ำไม่ให้ทะลุเข้ามา หรือการขุดลอกคลองระบายน้ำ ทำพื้นที่แก้มลิง หรือหาพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม

"น้ำจะท่วมกรุงเทพฯแน่นอน" โดยมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 50,000 ล้านบาท"

ที่สำคัญหากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่คิดหา วิธีป้องกัน หรือมีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างชัดเจน คนกรุงเทพฯและปริมณฑลจะต้องเผชิญกับสภาพน้ำท่วมขังบ้านเรือนเป็นเวลา 1 เดือน

                    
 "โปรดเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมที่จะเผชิญกับมัน!!! "


     ที่มา:http://www.saveoursea.net 



วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สูดโอโซน ดีจริงหรือ?



             พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนมักติดปากว่าอยากไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดเพื่อสูดโอโซน ทว่าการพูดเช่นนั้นแสดงว่าคุณยังไม่รู้จักโอโซนดีพอ
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ว่านี้อาจเป็นเพราะโมเลกุลของโอโซนประกอบด้วยออกซิเจน 3 อะตอม คนทั่วไปเลยคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองว่าออกซิเจนยิ่งมากก็ยิ่งหมายถึงอากาศบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอโซนมีทั้งที่ดีและไม่ดี
โอโซนที่ดีจะอยู่ในระดับความสูงเหนือพื้นดินมากกว่า 40 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเฉพาะในชั้นสตราโทสเฟียร์ ส่วนโอโซนที่ไม่ดีคือโอโซนที่อยู่เหนือระดับพื้นดินไม่เกิน 2 กิโลเมตร เพราะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก คอ และหากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากก็อาจเป็นอันตรายต่อปอดและเสียชีวิตได้ สิ่งที่ก่อให้เกิดโอโซนในระดับต่ำ ก็เช่น ควันของรถยนต์ เป็นต้น
สำหรับโอโซนที่ดีจะทำหน้าที่กั้นรังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบี (UVB) ซึ่งมีความยาวคลื่น 280-320 นาโนเมตร ส่องมายังโลกในปริมาณที่มากจนเกินไป เนื่องจากเจ้ารังสี UVB นี้เป็นอันตรายต่อมนุษย์ มีผลทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ต้อเนื้อ ต้อลม ส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ เช่น ทำให้พืชแคระแกร็น รวมทั้งยังทำให้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เปราะและหักพังเร็วขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่โลกสีฟ้าของเราใบนี้กำลังเผชิญอยู่ก็คือ รูรั่วโอโซน ส่งผลให้รังสี UVB ส่องผ่านมายังผิวโลกได้มากขึ้น จากการสำรวจโดยเครื่องบิน บอลลูน และดาวเทียม ตลอดจนข้อมูลขององค์การนาซา และ National Oceanic Atmospheric Administration (NOAA) ในปลายปี ค.ศ. 1970 พบว่า โอโซนในอวกาศมีแนวโน้มลดลงมาตลอด
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1986 มีนักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจโอโซนในช่วงฤดูใบไม้ผลิบริเวณซีกโลกใต้เหนือทวีปแอนตาร์กติกด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ด็อบสันสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ (Dobson Spectrophotometer) พบว่า ปริมาณโอโซนลดลงเหลือเพียง 88 DU (Dobson Unit) ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 220 DU
สาเหตุที่ชั้นโอโซนถูกทำลาย เกิดจากสารพวกฮาโลคาร์บอน (Halocarbon) ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่มีส่วนประกอบของธาตุคลอรีน ฟลูออรีน โบรมีน คาร์บอน และไฮโดรเจน โดยสารที่เป็นตัวการสำคัญๆ เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอนหรือ CFC ฮาลอน คาร์บอนเตตระคลอไรด์ เมธิลคลอโรฟอร์ม ซึ่งสารเหล่านี้นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยปัจจุบันมีความพยายามพัฒนาสารทดแทนที่เป็นมิตรกับโอโซนขึ้นมาใช้แทน และหวังว่าการสูญเสียโอโซนจะหมดไปในอนาคต
*ว่าแต่ไปเที่ยวทะเลหรือดงดอยคราวหน้า คงไม่มีใครปรารถนาไปสูดโอโซนอีกแล้วนะ*

ที่มา:http://www.greenworld.or.th/greenworld/population/1344
                                 (เรื่องเฟื่องฟ้า)

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลมแรง!! ทำน้ำตกไหลย้อนขึ้น ที่ออสเตรเลีย

สำนักข่าวต่างประเทศ เผยคลิปน้ำตกแห่งหนึ่งทางใต้ของออสเตรเลีย ไหลทวนกระแสน้ำขึ้นไป ด้วยความเร็วถึง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นผลมาจากฝนตกและลมแรงเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้มีคลื่นสูงถึง 5เมตร ทั้งนี้ จอห์น แมกแรท ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนจากโลกถึงความเปลี่ยนแปลงทางอากาศของโลก



ภาพจาก:http://www.youtube.com
ข้อมูลจาก:http://news.mthai.com/hot-news/123952.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรัพยากรน้ำ

โลกของเราประกอบขึ้นด้วย พื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง  กับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลก รวมทั้งมนุษย์เราด้วย น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ

ประโยชน์ของน้ำ

น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ำยังมีความจำเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่

          1. น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯล
2. น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำ              อื่น  ๆ ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
3.ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบาย             ความร้อน ฯล
4. การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
          5. น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าได้
          6. แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
7. ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์
 
 
ปัญหาของทรัพยากรน้ำ
 
                                                                                                                                                                   
ปัญหาสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น คือ
 
1. ปัญหาการมีน้ำน้อยเกินไป เกิดการขาดแคลนอันเป็นผลเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้             ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งเสียหายต่อพืชเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว
2. ปัญหาการมีน้ำมากเกินไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกินไป ทำให้เกิดน้ำท่วมไหลบ่าใน              ฤดูฝน สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
3. ปัญหาน้ำเสีย เป็นปัญหาใหม่ในปัจจุบัน สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำเสีย ได้
 1 ) น้ำทิ้งจากบ้านเรือน ขยะมูลฝอยและสิ่งปฎิกูลที่ถูกทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง
 2)  น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
 3) น้ำฝนพัดพาเอาสารพิษที่ตกค้างจากแหล่งเกษตรกรรมลงสู่แม่น้ำลำคลอง 
น้ำเสียที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลเสียหายทั้งต่อสุขภาพอนามัย เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ และมนุษย์ ส่งกลิ่นเหม็น รบกวน ทำให้ไม่สามารถนำแหล่งน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม
          ผลกระทบของน้ำเสียต่อสิ่งแวดล้อม

  • เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องเสีย
  • เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงนำโรคต่าง ๆ
  • ทำให้เกิดปัญหามลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ
  • ทำให้เกิดเหตุรำคาญ เช่น กลิ่นเหม็นของน้ำโสโครก
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดสภาพที่ไม่น่าดู เช่น สภาพน้ำที่มีสีดำคล้ำไปด้วย          ขยะ  และสิ่งปฎิกู
  • ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียพันธุ์ปลาบางชนิดจำนวนสัตว์น้ำลดลง
  • ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในระยะยาว



เครื่องเติมออกซิเจนให้แก่น้ำ ป้องกันมิให้น้ำเน่าเสีย


การอนุรักษ์น้ำ

       ดังได้กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า น้ำมีความสำคัญและมีประโยชน์มหาศาล เราจึงควรช่วยแก้ไขปัญหาน้ำเสียหรือการสูญเสียทรัพยากรน้ำด้วยการอนุรักษ์น้ำ ดังนี้

1. การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว ยัง    ทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย
2. การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้ เช่น การทำบ่อ      เก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประ
3. การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถมี   น้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กำลังแพร่   หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด
4. การป้องกันน้ำเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฎิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงาน    อุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
5. การนำน้ำเสียกลับไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น น้ำ    ทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้


ข้อมูลจาก:http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi2/subwater/subwater.htm

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล็งใช้"ทะเลทรายแอฟริกา" ผลิตฟาร์มไฟฟ้าแสงอาทิตย์



เวทีพลังงานทดแทนเสนอใช้ทะเลทรายแอฟริกาเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ป้อนพลเมืองได้ถึง 600 ล้านคนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แถมยังอาจเหลือส่งไปขายยุโรปได้ด้วย
          เกอร์ฮาร์ด นีส์ ผู้จัดการโครงการ บริษัทพลังงานทดแทนทรานส์-เมดิเตอร์เรเนียน กล่าวบนเวทีประชุมพลังงานทดแทนแอฟริกา ซึ่งจัดที่ประเทศไนโรบีเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทะเลที่ร้อนตับแลบในแอฟริกาสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้ โดยพื้นที่ 1.5 ตารางกิโลเมตรผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่าน้ำมัน 1.5 บาร์เรล

          แอฟริกาเหมาะทำโครงการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ โดยพลิกพื้นที่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไร้ประโยชน์มาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติที่ไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเมินดูแล้ว แต่ละปีทะเลทรายจะได้รับพลังงานมากกว่าพลังงานที่ใช้กันทั่วโลก

          กลุ่มคนที่ยากจนสุดเป็นคนที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาตะวันออก และต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อดำรงชีวิตอย่างมาก ยิ่งในภาวะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่ผันผวนจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานสะอาดมาทดแทนพลังงานจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล พลังงานโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

          ข้อดีของการลงทุนพลังงานโซลาร์เซลล์คือเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียวจบ และต้นทุนเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เริ่มถูกลงเรื่อยๆ เพียงนำกระจกและเดินท่อรับความร้อนจากดวงอาทิตย์มาต้มน้ำให้เดือด และใช้พลังไอน้ำดันกังหันเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า

          หลายประเทศทั่วโลกสนใจทำ "ฟาร์มแสงอาทิตย์" กันบ้างแล้ว เช่นในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ วางแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าให้แก่ผู้อยู่อาศัย 1.9 แสนหลังคาเรือน และจะเป็นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่นิวเม็กซิโก และแคนาดามีแผนผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก:คมชัดลึก